นรกสวรรค์ในพุทธศาสนา มีอยู่ที่อายตนะ ?

 
chatchai.k
วันที่  8 ต.ค. 2557
หมายเลข  25616
อ่าน  3,080

มีพุทธศาสนิกชนบางท่านมีความเข้าใจว่า นรกสวรรค์ในพุทธศาสนา มีอยู่ที่อายตนะไม่ทราบว่าความเห็นเช่นนี้ตรงตามพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงหรือไม่ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 8 ต.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

นรก สวรรค์มีจริงหรือไม่ พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องสวรรค์และนรก เพื่อให้เห็นว่ากรรมมี ผลของกรรมก็ย่อมมี กรรมดีเมื่อได้ทำ ผลก็ย่อมมี กรรมชั่วเมื่อได้ทำลงไป ผลก็ย่อมมีจากผลของการทำชั่ว หากเราจะตัดสินสิ่งที่มีจริงด้วยการเห็นเท่านั้น หากไม่ได้เห็นก็บอกว่าไม่มีจริง คงตัดสินแค่นั้นไม่ได้ครับ สิ่งที่ไม่เห็นแต่มีจริงก็ได้ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องของเหตุ ผล และเมื่อบุคคลเห็นด้วยตาตัวเองแล้วจึงเชื่อ แต่สำหรับผู้มีปัญญาแล้ว ย่อมเชื่อในสิ่งที่แม้ไม่ได้เห็น เพราะเป็นเรื่องของเหตุและผลที่เป็นไปตามความเป็นจริง ในโลกมนุษย์ที่เห็นๆ กันอยู่ ทำไม บางคนถึงได้รับความสุข เกิดมาพบสิ่งดีๆ เป็นส่วนมาก ทำไมบางคนถึงได้รับความทุกข์ทรมาน ทางกายมากกว่าคนอื่นทุกอย่างต้องมีเหตุ ไม่ใช่เกิดขึ้นมาลอยๆ ครับ ในการได้รับสุข ได้รับทุกข์ ผู้ทีได้รับความสุขทางกายที่ดี ก็ย่อมเกิดจากเหตุที่ดีคือ การกระทำกุศลกรรม ทำสิ่งที่ดี ผู้ที่ได้รับสิ่งที่ไม่ดีทางกาย หรือทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ย่อมเกิดจากเหตุที่ไม่ดี เกิดจากการกระทำที่ไม่ดีที่เป็นอกุศลกรรมนั่นเอง เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องของเหตุและผล ทำกรรมดีก็ย่อมได้รับสิ่งที่ดี ทำกรรมชั่วก็ย่อมได้รับสิ่งที่ไม่ดีครับ

บนโลกเราทำไมบางคนอาจโดนไฟไหม้ตัวเอง แต่ระยะเวลาไม่นาน แล้วจะมีสถานที่อื่นไหมที่ถูกไฟเผาตัวเองเป็นเวลานาน ทำไมคนอื่นไม่ถูกไฟไหม้ แต่ทำไมต้องเป็นคนนี้ เพราะกรรมที่ไม่ดีของคนนั้นให้ผล แล้วถ้ากรรมที่ไม่ดีที่มีมาก มีกำลัง ผลก็ย่อมรุนแรงกว่านี้ ย่อมจะมีสถานที่ที่ได้รับการถูกเผาด้วยไฟนานกว่านั้น นี่เราพูดถึงเรื่องของเหตุและผล ว่ากรรมที่ทำที่เป็นกรรมไม่ดี ก็มีตั้งแต่มีกำลังน้อยก็ให้ผลไม่มาก จนถึงกรรมไม่ดีที่มีกำลังมาก การให้ผลก็ย่อมให้ผลในทางที่ไม่ดีมาก อันมีสถานที่ที่สมควรแก่การรับผลในทางที่ไม่ดี มี นรก เป็นต้น สัตว์เดรัจฉานบางประเภทก็ถูกฆ่าอย่างทารุณ แต่ระยะเวลาไม่นาน นี่เราพอจะเห็นได้ เป็นนรกของสัตว์หรือเปล่า ซึ่งก็ต้องเป็นเพราะผลของกรรมที่ไม่ดี แต่จะมีสถานที่อื่นไหมที่จะต้องได้รับการฆ่าทรมานมากกว่านั้นเพราะกรรมชั่วที่ทำนั้นมีกำลังมาก จึงต้องมีสถานที่ที่เหมาะสมในการรับผลของกรรม ตามกำลังของกรรมชั่วที่ทำไว้

โดยนัยเดียวกับเรื่องของสวรรค์ ในโลกมนุษย์ก็มีผู้ที่ได้รับความสุข ได้พบสิ่งที่ดีนั่นเป็นผลของกุศลกรรมที่เขาทำไว้ให้ผล แต่หากเป็นกุศลกรรมที่มีกำลัง ประณีต ผลของกุศลนั้นก็ย่อมให้สิ่งที่ดีมากกว่านี้ ได้เห็นสิ่งที่ดี ได้ยินสิ่งที่ดี เป็นต้น อันมีสถานที่ที่เหมาะสมกับการได้รับผลของกรรมที่เป็นกรรมที่ดี ประณีต มีกำลัง มีสวรรค์ เป็นต้น

จะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องของเหตุและผล เป็นเรื่องของกรรมและผลของกรรม กรรมดีมีกรรมที่ดี ประณีตมากๆ ก็ย่อมมีสถานที่ที่เหมาะสมในการรับผลของกรรมที่ทำดี กรรมไม่ดีมีจริง และถ้าเป็นกรรมชั่วที่มีกำลังมาก ก็ย่อมมีสถานที่เหมาะสมในการรับผลของกรรมที่เป็นกรรมดี มีสวรรค์ เป็นต้น

เพราะฉะนั้น นรก สวรรค์ จึงไม่ใช่ อายตนะ ที่เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นทางตาหูจมูก ลิ้น กาย และใจในชาตินี้เท่านั้นที่ได้รับผลของกรรม เพราะผลของกรรมย่อมทำให้นำเกิด ในภพภูมิอื่น สถานที่อื่นได้อีกด้วย ตามกรรมที่ทำมา มี นรก สวรรค์ เป็นต้นครับ ส่วนในความเป็นจริง ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้นจึงเป็นไปตามความคิดนึก ความเข้าใจของแต่ละบุคคล ไม่เห็นจะกล่าวว่าสิ่งนั้นไม่มีไม่ได้ แต่การจะรู้ว่ามีหรือไม่มีนั้นจึงเป็นการเห็นด้วยปัญญา เข้าใจตามโดยไม่ได้เชื่อตามตำรา แต่เพราะพิจารณาเหตุผลตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง ย่อมเข้าใจความจริงว่า เมื่อเหตุมี ผลก็ย่อมมี เมื่อทำกรรมดีที่มีกำลัง ก็ย่อมมีสถานที่ที่เหมาะสมในการับผลของกรรม เช่นเดียวกับกรรมชั่วที่มีกำลัง เมื่อให้ผล ก็ย่อมมีสถานที่ที่เหมาะสมในการรับผลของกรรมครับ พระพุทธ-องค์ทรงแสดงเรื่องนรก-สวรรค์ เพื่อให้สัตว์ทั้งหลายเห็นโทษของอกุศลกรรม และเห็นประโยชน์ของกุศลกรรม พระธรรมของพระพุทธเจ้าจึงเป็นเรื่องของเหตุผลครับ

ในพระไตรปิฎก ได้มีการซักถามและการพูดคุยในเรื่องของภพภูมิข้างหน้าที่เป็นนรกและสวรรค์ว่ามีจริงหรือไม่ ในปายาสิราชัญญสูตร พระเจ้าปายาสิไม่เชื่อในเรื่องโลกหน้า ไม่เชื่อในเรื่องนรก สวรรค์ พระกุมารกัสสปะ ผู้เป็นเลิศในการกล่าวธรรมวิจิตรได้แก้ข้อสงสัยและความเชื่อผิดของพระเจ้าปายาสิที่เชื่อว่าไม่มีโลกหน้า ไม่มีนรกสวรรค์ ซึ่งท่านพระกุมารกัสสปะ ได้แก้ความเข้าใจผิดที่พระเจ้าปายาสิกล่าวแย้งได้เป็นอย่างดี เมื่อได้อ่านแล้วจะทำให้เข้าใจเรื่อง นรก สวรรค์มีจริงหรือไม่ครับ

ขออนุโมทนาครับ

เชิญคลิกอ่านที่นี่......

นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่ ตอนที่ 1 [ปายาสิราชัญญสูตร]

นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่ ตอนที่ 2 [ปายาสิราชัญญสูตร]

นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่ ตอนที่ 3 [ปายาสิราชัญญสูตร]

นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่ ตอนที่ 4 [ปายาสิราชัญญสูตร]

เชิญคลิกอ่านกระทู้เพิ่มเติมครับ

นรก และเหตุที่ทรงแสดงภูมิต่างๆ

จะพิสูจน์อย่างไรว่านรก สวรรค์มีอยู่จริงหรือไม่

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 8 ต.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ที่ควรจะได้เข้าใจเป็นเบื้องต้น คือ สวรรค์ และ นรก เป็นภพภูมิที่มีจริง เช่นเดียวกับโลกนี้ ซึ่งเป็นโลกๆ หนึ่ง เมื่อเกิดในโลกนี้ ก็รู้ว่าโลกนี้มีจริง เมื่อยังอยู่ในโลกนี้ก็ยังไม่เห็นสวรรค์ ไม่เห็นนรก (แต่ก็เคยไปเกิดมาแล้วทั้งนั้น เพราะสังสารวัฏฏ์ยาวนาน เราเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน เป็นมาแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง และยังจะต้องเกิดอีกต่อไป ตราบใดที่ยังไม่สามารถดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด) แต่เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว ไปเกิดในสวรรค์ หรือ เกิดในนรกเมื่อนั้นก็จะรู้ได้ว่าสวรรค์ หรือ นรก นั้น มีจริงๆ

เมื่อได้กระทำกรรมดีสมควรแก่การเกิดในสวรรค์ชั้นต่างๆ กรรมนั้นก็ให้ผลทำให้เกิดในสวรรค์ชั้นนั้นๆ และเมื่อนั้นก็จะรู้ว่า สวรรค์ก็คือโลกๆ หนึ่ง เป็นภพภูมิหนึ่ง ซึ่งก็เหมือนโลกนี้ แต่รูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ประณีตกว่าโลกมนุษย์จึงชื่อว่า สวรรค์

ในทางตรงกันข้าม นรกก็เป็นอีกภพภูมิหนึ่ง เป็นภพภูมิที่มีจริงแต่เป็นอบายภูมิ ซึ่งเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานประการต่างๆ เป็นภพภูมิที่ปราศจากความเจริญ หมดโอกาสที่จะได้เจริญกุศลทุกประการ ไม่มีใครอยากไปเกิดในนรก แต่ก็ไม่สามารถเป็นไปตามที่ใจต้องการได้ ถึงแม้จะบอกว่าไม่อยากไปเกิดในนรก ก็ไปเกิดได้ทั้งนั้น ทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ ถ้าเป็นผู้ประมาทมัวมัว กระทำอกุศลกรรมประการต่างๆ มีฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้น ซึ่งเป็นไปตามกรรมที่ตนได้กระทำแล้ว ไม่มีใครหยิบยื่นความทุกข์ทรมานให้ได้เลย นอกจากตนเองเท่านั้นที่ได้กระทำกรรมชั่วลงไป เมื่อถึงคราวที่กรรมชั่วให้ผล จึงทำให้ได้รับผลที่ไม่น่าปรารถนาเหล่านั้น

เพราะฉะนั้น จึงแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะไปเกิดในภพภูมิใด ก็เป็นเพียงที่พักชั่วคราวเท่านั้น แม้แต่มนุษย์โลกนี้เอง ก็เป็นเพียงที่พักชั่วคราวจริงๆ ไม่รู้ว่าเราจะละจากโลกนี้ไปเมื่อใด ทางที่ดีที่สุดคือไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการและไม่ประมาทกำลังของอกุศลด้วย ทุจริตแม้เล็กๆ น้อยๆ ถึงแม้ว่าคนอื่นจะไม่เห็น ก็ไม่ควรทำเพราะความชั่ว แม้จะเล็กน้อย ก็เป็นความชั่ว เป็นโทษเป็นภัยทั้งนั้น ทุจริตนั้น เมื่อได้กระทำลงไปแล้ว ย่อมตามเผาผลาญในภายหลัง คิดถึงเมื่อใด ก็ไม่สบายใจเมื่อนั้นและเมื่อถึงคราวที่อกุศลกรรมให้ผล ก็ทำให้เป็นทุกข์เดือดร้อน ส่วนสุจริต ความดีทั้งหลาย แม้จะไม่มีใครเห็น ก็ควรทำ เพราะความดีทั้งหลายนำมาซึ่งความปราโมทย์อย่างเดียว ไม่นำความทุกข์ใดๆ มาให้เลย และความดีที่สำคัญที่สุด ที่ขาดไม่ได้เลยนั้น ก็คือการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏยิ่งๆ ขึ้นไป ความดีทั้งหลายในชีวิตประจำวัน จะค่อยๆ เจริญขึ้น เมื่อได้เป็นผู้เข้าใจพระธรรม อันเนื่องมาจากการได้ฟังพระธรรมนั่นเองครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 8 ต.ค. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 8 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
thilda
วันที่ 8 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
tanrat
วันที่ 8 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
peem
วันที่ 11 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 1 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ