เป็นผู้ที่พิจารณาข้อความที่ได้ฟังแม้น้อย
อะไรก็ตามที่จะเตือนให้ได้พิจารณาธรรม เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ แม้ว่าจะเป็นวัน
เดือน ปี ที่ผ่านไป และชาวโลกนิยมนับถือกันว่าปีใหม่และปีเก่าก็ตาม แต่ว่าสำหรับ
ผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติธรรมก็ยังอาศัยเหตุนั้นเป็นเครื่องระลึกได้ว่า ได้มีความเข้าใจ
ในสภาพธรรมมากน้อยแค่ไหน เพิ่มขึ้นแล้วมากน้อยแค่ไหน เพราะคำว่า “พหูสูต”
คือ ผู้ที่ฟังพระธรรม แล้วเข้าใจอรรถของพระธรรม ถึงแม้จะเป็นผู้ที่ฟังน้อย เพราะ
คงจะมีส่วนมากทีเดียว ที่ไม่ได้ศึกษาพระไตรปิฎกจบทั้งอรรถกถา ฎีกา แต่เป็นผู้ที่
พิจารณาข้อความที่ได้ฟังแม้น้อย โดยที่ไม่ผ่านไป
ถึงแม้ฟังน้อยแต่พิจารณาธัมมะ และปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมสำคัญที่สุด สุดท้ายก็ไม่พ้นคำถามที่ว่า ศึกษาธัมมะเพื่ออะไร
ยกข้อความในพระไตรปิฎก น่าจะมีประโยชน์ครับ
ข้อความบางตอนจาก คาถาธรรมบท เรื่องพระเอกุทานเถระ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้าที่ 74
ลักษณะผู้ทรงธรรมและไม่ทรงธรรม
พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เรียกผู้เรียนมากหรือพูดมากว่า ' เป็นผู้ทรงธรรม ' ส่วนผู้ใดเรียนคาถาแม้คาถาเดียวแล้วแทงตลอดสัจจะทั้งหลาย, ผู้นั้นชื่อว่าเป็นผู้ทรงธรรม" ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า:- บุคคล ไม่ชื่อว่าทรงธรรม เพราะเหตุที่พูดมาก; ส่วนบุคคลใด ฟังแม้นิดหน่อย ย่อมเห็นธรรมด้วย นามกาย, บุคคลใด ไม่ประมาทธรรม, บุคคลนั้นแล เป็นผู้ทรงธรรม."
แก้อรรถ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยาวตา เป็นต้น ความว่า บุคคลไม่ชื่อว่าผู้ทรงธรรม เพราะเหตุที่พูดมาก ด้วยเหตุมีการเรียน และการทรงจำและบอกเป็นต้น. แต่ชื่อว่าตามรักษาวงศ์ รักษาประเพณี. บทว่า อปฺปมฺปิ เป็นต้น ความว่า ส่วนผู้ใดฟังธรรม แม้มีประมาณน้อย อาศัยธรรมะ อาศัยอรรถะ เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมกำหนดรู้สัจจะมีทุกข์เป็นต้น ชื่อว่าย่อมเห็นสัจธรรม ๔ ด้วยนามกาย.ผู้นั้นแล ชื่อว่าเป็นผู้ทรงธรรม. บาทพระคาถาว่า โย ธมฺม นปฺปมชฺชติ ความว่า แม้ผู้ใดเป็นผู้มีความเพียรปรารภแล้ว หวังการแทงตลอดอยู่ว่า " (เราจักแทงตลอด) ในวันนี้ๆ แล" ชื่อว่าย่อมไม่ประมาทธรรม, แม้ผู้นี้ก็ชื่อว่าผู้ทรงธรรมเหมือนกัน. ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องพระเอกุทานเถระ จบ.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 14
อัปปสุตสูตร
ว่าด้วยบุคคลผู้มีสุตะ ๔ จำพวก
[๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวก มีปรากฏอยู่ในโลก
บุคคล ๔ คือใคร คือ บุคคลผู้สดับน้อย (เรียนน้อย) ทั้งไม่ได้ประโยชน์
เพราะการสดับ ๑ บุคคลผู้สดับน้อย แต่ได้ประโยชน์เพราะการสดับ ๑บุคคลผู้สดับมาก (เรียนมาก) แต่ไม่ได้ประโยชน์เพราะการสดับ ๑ บุค-คลผู้สดับมาก ทั้งได้ประโยชน์เพราะการสดับ ๑
บุคคลผู้สดับน้อย ทั้งไม่ได้ประโยชน์เพราะการสดับเป็นอย่างไร?
(นวังคสัตถุศาสนา คำสอนของพระศาสดามีองค์ ๙ คือ) สุตตะ เคยยะ
เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธัมมะ เวทัลละ
บุคคลบางตนในโลกนี้ได้สดับน้อย ทั้งเขาหารู้อรรถ (คือเนื้อความ) รู้ธรรม
(คือบาลี) แห่งคำสอนอันน้อยที่ได้สดับนั้น แล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
ไม่ บุคคลผู้สดับน้อย ทั้งไม่ได้ประโยชน์เพราะการสดับ เป็นอย่างนี้แล.
บุคคลผู้สดับน้อย แต่ได้ประโยชน์เพราะการสดับเป็นอย่างไร?
(นวังคสัตถุศาสนา คำสอนของพระศาสดามีองค์ ๙ คือ) สุตตะ ฯลฯ เวทัลละ
บุคคลบางตนในโลกนี้ได้สดับน้อย แต่เขารู้อรรถรู้ธรรมแห่งคำสอนอันน้อย
ที่ได้สดับนั้นแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม บุคคลผู้สดับน้อย แต่ได้ประ-โยชน์เพราะการสดับ เป็นอย่างนี้แล.
บุคคลผู้สดับมาก แต่ไม่ได้ประโยชน์เพราะการสดับเป็นอย่างไร?
(นวังคสัตถุศาสนา คำสอนของพระศาสดามีองค์ ๙ คือ) สุตตะ ฯลฯ เวทัลละ
บุคคลบางคนในโลกนี้ได้สดับมาก แต่เขาหารู้อรรถรู้ธรรมแห่งคำสอนเป็นอัน
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 15
มากที่ได้สดับนั้นแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมไม่ บุคคลผู้สดับมาก แต่
ไม่ได้ประโยชน์เพราะการสดับ เป็นอย่างนี้แล
บุคคลผู้สดับมาก ทั้งได้ประโยชน์เพราะการสดับเป็นอย่างไร
(นวังคสัตถุศาสนา คำสอนของพระศาสดามีองค์ ๙ คือ) สุตตะ ฯลฯ เวทัลละ
บุคคลบางคนในโลกนี้ได้สดับมาก ทั้งเขารู้อรรถรู้ธรรมแห่งคำสอนเป็นอันมากที่ได้สดับนั้นแล้ว ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม บุคคลผู้สดับมาก ทั้งได้
ประโยชน์เพราะการสดับ เป็นอย่างนี้แล.
ภิกษุทั้งหลาย นี้แลบุคคล ๔ จำพวกมีปรากฏอยู่ในโลก.
บุคคลใด ถ้าเป็นคนสดับน้อย ทั้งไม่
ตั้งอยู่ในศีล บัณฑิตทั้งหลายย่อมติเตียน
บุคคลนั้นทั้ง ๒ ทาง คือ ทั้งทางศีล ทั้ง
ทางสดับ.
บุคคลใด ถ้าแม้เป็นคนสดับน้อย
แต่ตั้งมั่นอยู่ในศีล บัณฑิตทั้งหลายย่อม
สรรเสริญบุคคลนั้นทางศีล แต่การสดับ
ของเขาบกพร่อง.
บุคคลใด ถ้าแม้เป็นคนสดับมาก
แต่ไม่ตั้งมั่นอยู่ในศีล บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมติเตียนบุคคลนั้นทางศีลแต่การสดับ ของเขาพอการ.
บุคคลใด ถ้าเป็นคนสดับมาก ทั้ง
ตั้งมั่นอยู่ในศีล บัณฑิตทั้งหลายย่อม
สรรเสริญบุคคลนั้นทั้ง ๒ ทางคือทั้งทาง
ศีล ทั้งทางการสดับ.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 16
ใครจะควรติบุคคลผู้ได้สดับมาก
ทั้งเป็นผู้ทรงธรรม ตอบด้วยปัญญา เป็น
สาวกพระพุทธเจ้า ราวกะแต่งทองชมพูนุท
นั้นเล่า แม้เหล่าเทวดาดีย่อมชม ถึงพรหม
สรรเสริญ.
จบอัปปสุตสูตรที่ ๖