ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๖๘

 
khampan.a
วันที่  9 พ.ย. 2557
หมายเลข  25751
อ่าน  1,857

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๖๘

ถ้าไม่มีกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วเป็นปัจจัย จะไม่มีการเกิดเลย การเกิดเป็นผล

ของกรรม แต่ละท่านเกิดมาต่างกันเพราะกรรมที่ได้กระทำไว้ต่างกัน ในชาตินี้ก็มี

กรรมต่างๆ แต่ว่ากรรมต่างๆ ที่ต่างกันไปในชาตินี้ย่อมมาจากเหตุ คือ การสะสมใน

อดีต สะสมอัธยาศัยมาต่างๆ กันในชาติก่อนๆ แล้วก็กระทำกรรมต่างๆ กันในชาติ

ก่อนๆ เป็นเหตุให้อัธยาศัยในปัจจุบันชาตินี้ต่างกัน และกรรมในชาตินี้ก็ต่างกัน

การเกิดเป็นผลของกรรมหนึ่งเท่านั้นในบรรดากรรมทั้งหลายที่ได้กระทำแล้ว

โดยที่ว่าไม่มีใครสามารถที่จะเลือกที่เกิดได้ ไม่สามารถที่จะเลือกตระกูล สมบัติ

หรือว่าวงศาคณาญาติได้ ย่อมเป็นไปตามกรรมทั้งสิ้น

บางท่านที่เป็นผู้รักความสะอาดทางกาย เป็นผู้ที่รังเกียจความสกปรก

ทางกายมาก แต่ว่าลืมคิดว่า ขณะใดที่อกุศลเกิด ข ณะนั้นสกปรกหรือว่าน่า

รังเกียจเสียยิ่งกว่าความสกปรกทางกาย

กิเลส ดี มีหรือ? ถ้าเห็นว่ากิเลส ดี นั่นเห็นผิดแล้ว ไม่ใช่เห็นถูก

เมื่อเป็นอกุศลก็ต้องเป็นอกุศล ถ้าธรรมนั้นเป็นอกุศล จะเปลี่ยนสภาพ

ธรรมนั้นให้เป็นกุศลไม่ได้ ด้วยเหตุนี้พระผู้มีพระภาคจึงได้ทรงแสดงความ

ละเอียดของอกุศลธรรมซึ่งจะต้องละให้หมดสิ้นไป เพราะเหตุว่าถ้าไม่แสดง

โดยละเอียด ท่านผู้ฟังก็จะไม่ทราบว่าอกุศลธรรมนั้นมีความละเอียดมาก

เพียงไร

มายาเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล? เป็นอกุศล ไม่จริงแต่ทำเสมือนว่าจริง

ผิด แต่ทำเสมือนถูก นั่นก็เป็นมายา ไม่ได้บรรลุ ก็เสมือนกับว่าบรรลุธรรม

นั่นก็เป็นมายา

เคยเป็นสุขมามากทุกท่านหลายภพ หลายชาติ ยืดยาวมาโดยตลอดใน

สังสารวัฏฏ์ แต่สุขก็ไม่เที่ยง แล้วก็ไม่ได้รู้ความจริงด้วยว่า สุขไม่เที่ยง ยังคง

ปรารถนาความสุข ยังยึดถือว่าเราสุข

จะไม่หมดความสงสัยในลักษณะของนามธรรมและ รูปธรรมได้เลย

ถ้าตราบใดยังไม่ได้พิจารณาลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา

ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ตามปกติ

ถ้าไม่มีโสตินทรีย์ (สภาพที่เป็นใหญ่ คือ โสตปสาทะ (หู)) จะไม่มี

โอกาสได้ฟังพระธรรม ไม่มีโอกาสจะเข้าใจเรื่องของสภาพธรรม ที่ไม่ใช่

สัตว์ บุคคล ตัวตน

พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้แล้วโดยละเอียดว่า ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล

ไม่มีตัวตน มีแต่นามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏ ถ้ารู้แจ้งอริยสัจจธรรม

ก็ต้องรู้อย่างนี้ แล้วเจริญอบรมอย่างไรจึงจะรู้อย่างนี้ได้? จะต้องศึกษาพิจารณา

ไตร่ตรองโดยละเอียดรอบคอบ พร้อมทั้งประพฤติปฏิบัติพิสูจน์ธรรมที่ท่านศึกษา

ด้วย ว่าสามารถที่จะให้รู้จริงในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่ปรากฏทางตา

หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตามความเป็นจริงได้หรือไม่

คงจะไม่ลืมข้อความในอรรถกถาที่ว่าการศึกษาพระไตรปิฎก ถ้าศึกษาผิดแล้ว

เป็นโทษ คือ ถ้าเข้าใจพระวินัยผิด ก็จะทำให้กระทำสิ่งที่เป็นโทษ เพราะคิดว่าพระ

วินัยไม่ได้แสดงไว้อย่างนั้น เข้าใจในพระวินัยผิดไปและ ถ้าศึกษาพระสูตรโดยที่ไม่

ได้พิจารณาโดยละเอียด ก็ทำให้เป็นมิจฉาทิฏฐิ คือมีความเห็นผิดคลาดเคลื่อน

จากสภาพธรรม ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง และถ้าศึกษาพระอภิธรรมผิด คือ คิด

ถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ก็อุตส่าห์คิดพิจารณาค้นคว้าสงสัยไม่ควรแก่การพิจารณา

ก็จะทำให้เป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่าน

ถ้าไม่มีอดีตกรรมที่สะสมมาแล้ว ก็คงจะไม่ฟังธรรมทางสถานีวิทยุ หรือ ถ้าฟัง

แล้วก็อาจจะไม่สนใจ แต่สำหรับท่านที่มีการสะสมมาแล้ว พอฟังท่านก็สนใจทันที

รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง และสามารถที่จะฟังพิจารณาศึกษาให้เข้าใจขึ้นได้

ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง และทรงพร่ำสอนเป็นอันมากในพระ-

ไตรปิฎก ประโยชน์ก็คือ เพื่อที่จะให้เข้าใจจริงๆ ว่าชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไม่ใช่เรา

เป็นแต่เพียงสภาพธรรม คือ จิต เจตสิก รูป ซึ่งอาศัยเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น ทำกิจการ

งานต่างๆ

ถ้าได้เข้าใจธรรมละเอียดขึ้น ก็สามารถจะพิจารณาธรรมที่เกิดกับตน

และรู้ได้ว่า สิ่งใดเป็นสาระ และสิ่งใดไม่เป็นสาระ เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นอกุศ

มาก ก็จะทำให้ขวนขวายในการที่เจริญกุศลยิ่งขึ้น

พระธรรม ชี้ให้เห็นโทษของอกุศล และให้เห็นประโยชน์ของกุศล ทำให้

ปัญญาเจริญขึ้นที่จะรู้ว่ากิเลสคืออะไร และมีมากน้อยแค่ไหน จนกระทั่งสามารถ

ที่จะให้ปัญญาความรู้ถูกที่เพิ่มขึ้นนั้น ละคลายกิเลสได้

เมื่อได้ชื่อว่า นับถือพุทธ ก็ควรที่จะได้รู้ว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไรด้วย

นี่เป็นเหตุ ที่ทำให้ศึกษาพระพุทธศาสนา และเมื่อศึกษาพระพุทธศาสนา แล้วก็

รู้ว่าพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนั้น เป็นสัจจธรรม เป็นธรรมที่มีจริงที่

พิสูจน์ได้ทุกขณะ นี่ก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐกว่าคำสอนอื่น เพราะเหตุว่าคำสอนอื่น

ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงๆ

ธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสรู้และทรงแสดง ก็เป็นการตรัสรู้ลักษณะของสิ่ง

ที่มีจริงๆ ตามลักษณะนั้นๆ โดยถูกต้อง ไม่ผิด ไม่คลาดเคลื่อน และทรงแสดง

ลักษณะของธรรมนั้น เป็นคำสอน ที่เราใช้คำว่า ทรงแสดงพระธรรม หรือทรง

แสดงธรรม เพราะว่าทรงแสดงเรื่องของทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง ตั้งแต่เกิดจนตาย

ยังมีความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบทาง

กาย) เพราะฉะนั้นก็ต้องมีทุกข์ซึ่งเกิดจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

ฟังพระธรรม เพราะไม่รู้ ยิ่งฟังยิ่งรู้ว่าความไม่รู้มีมากมายเพียงใด

ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมโดยละเอียด รอบคอบ ถี่ถ้วน เป็นเหตุให้เข้า

ใจผิดได้

ชีวิตประจำวัน เป็นธรรม ซึ่งถ้าไม่ได้ฟัง ไม่มีทางที่เข้าใจตามความเป็น

จริงได้

อกุศลไม่สามารถจะละคลายอกุศลได้ ยิ่งอยากก็ยิ่งยุ่ง.

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๖๗

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 9 พ.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

@ วันนี้มีแข็งจริง แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรมแต่ละอย่างที่เกิด และดับไป เพราะเมื่อไรที่

สติไม่เกิดขึ้น ระลึกรู้ตรงลักษณะของสิ่งนั้น สิ่งนั้นก็ไม่ได้ปรากฏด้วยดี คือ เพียง

ปรากฏแล้วหมดไป เพราะไม่ได้มีการรู้ว่าเป็นลักษณะของธรรม

@ การมีเจตนาดี แนะนำดี ไม่เป็นโทษสำหรับผู้แนะนำ เพราะได้ทำในสิ่งที่เป็น

ประโยชน์แก่ผู้อื่น ส่วนผู้ที่ได้รับคำแนะนำจะเป็นอย่างไรนั้น จะรับฟังพร้อมทั้งน้อม

ประพฤติตาม หรือ จะคัดค้านปฏิเสธในคำแนะนำนั้น ก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล

จริงๆ

@ เมื่อได้ยินคำว่า สัมมาสมาธิ ไม่ได้หมายถึงจะต้องไปเจริญฌานเพียงอย่าง

เดียว และไม่เข้าใจผิดว่า การเจริญสัมมาสมาธิจะต้องไปเจริญฌานก่อน เพียงแต่

ให้เข้าใจว่า แม้วิปัสสนาก็มีสมาธิ มีสัมมาสมาธิในขณะนั้นแล้ว ส่วนสัมมาสมาธิใน

สมถภาวนาก็เป็นไปเพื่อความสุขในปัจจุบันเท่านั้น ไม่เป็นไปเพื่อดับกิเลส

@ ถ้าไม่รู้ว่าเป็นพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็จะคิดเอาเอง

เหมือนกับว่า ใครก็คิดได้เป็นเรื่องธรรมดาๆ ง่ายๆ

@ ไม่ต้องไปหาจิตที่ไหน พอบอกว่า เห็น รู้จัก แต่จิตอยู่ไหน งง จิตเป็นธาตุที่

กำลังเห็น เป็นธาตุที่กำลังรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฎทางตา เพราะฉะนั้นในขณะนี้

เป็นจิตแต่ละหนึ่ง ซึ่งแต่ละบุคคลก็ยึดจิตหนึ่งขณะที่เกิดขึ้น เป็นเรา และก็เกิดดับ

สืบต่ออย่างเร็วมาก จนกระทั่งปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ในขณะที่เห็น

@ ฟังอีกนานเท่าไรก็ไม่เป็นไร เพราะว่ามีเห็น แล้วความจริง ก็เป็นอย่างนี้ ที่ไม่ลืม

แล้วก็จะรู้ว่า การค่อยๆ เข้าใจ เท่านั้น ที่จะทำให้สามารถรู้ความจริง ของสิ่งที่

ปรากฏได้ มิฉะนั้นแล้ว เพียงฟังวันนี้ หรือว่าสักปีหนึ่งมาแล้ว หรือว่าจะฟังต่อไป

อีกไม่นาน ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงนี้ได้ ต้องอาศัยความเข้าใจ มั่นคงขึ้นว่า สิ่ง

ที่ปรากฏ เป็นแต่เพียงสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ ไม่ว่านิมิตนั้น จะปรากฏเป็น

อะไรก็ตาม

@ สุข ทุกข์ ทั้งหมด มาจากเห็นในชาติหนึ่ง ชาติหนึ่ง แล้วสุข ทุกข์ ทั้งหมด ก็มา

จากการได้ยินเรื่องราวต่างๆ แต่ว่าตามความเป็นจริง สิ่งนั้น ก็เกิดแล้ว หมดแล้ว

ดับไปแล้ว แล้วก็ไม่มีอะไรเหลือเลย

@ วันทั้งวัน เป็นเรื่องของสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ

สั้นๆ แล้วก็ดับไป แต่สืบต่อเป็นเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏให้เห็น จึงอยู่ในโลกของ

ความคิด โลกของการไม่รู้ความจริง ว่าแท้จริง คือ ธรรม ได้แก่ จิต เจตสิก รูป

@ ธรรมะที่ทรงแสดง 45 พรรษา มากมหาศาลที่แต่ละคนยากที่แต่จะเข้าใจได้ทั่ว

ถึงแต่ละคำด้วย ไม่ใช่รีบร้อนที่จะไปให้ถึง

@ เห็นคน ถ้าไม่มีสัณฐาน รูปร่าง ที่ปรากฏสีสัน วรรณะที่ต่างกัน จะรู้ได้อย่างไร

ว่า นั่นเป็นคน หรือนี่ไม่ใช่คน

@ ฟังแล้วให้เข้าใจความจริงว่า กำลังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ
@พูดถึงจิตทุกคนคุ้นหู ธาตุรู้ สภาพรู้ที่เกิดขึ้นรู้แจ้งสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ ขออนุโมทนา
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Jans
วันที่ 9 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 9 พ.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบท่านอาจารย์

ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย และ อ.เผดิม ยี่สมบุญ

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
pulit
วันที่ 9 พ.ย. 2557

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพย่ิ่ง ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะ ของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย และ อ.เผดิม ยี่สมบุญ เป็นอย่างยิ่ง ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ch.
วันที่ 9 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 10 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
siraya
วันที่ 10 พ.ย. 2557

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
j.jim
วันที่ 10 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เมตตา
วันที่ 10 พ.ย. 2557

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย และ อ.เผดิม ยี่สมบุญ

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
jaturong
วันที่ 10 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 10 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ปวีร์
วันที่ 11 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
orawan.c
วันที่ 11 พ.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย และ อ.เผดิม ยี่สมบุญ

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
rrebs10576
วันที่ 14 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
kullawat
วันที่ 16 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
มังกรทอง
วันที่ 4 ธ.ค. 2564

จะไม่หมดความสงสัยในลักษณะของนามธรรมและ รูปธรรมได้เลยถ้าตราบใดยังไม่ได้พิจารณาลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตาทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ตามปกติถ้าไม่มีโสตินทรีย์ (สภาพที่เป็นใหญ่ คือ โสตปสาทะ (หู)) จะไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ไม่มีโอกาสจะเข้าใจเรื่องของสภาพธรรม ที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ