เดิน ยืน นั่ง นอน
โดยความเคารพอย่างสูง พระพุทธองค์ทรงมีโอวาทเกี่ยวกับการ เดิน ยืน นั่ง นอน ไว้บ้างไหมครับ ถ้ามี อย่างไร
ขอขอบพระคุณที่ให้ความรู้เป็นทาน
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การบรรลุ คือ การรู้ความจริงของสภาพธรรมจนแทงตลอดสัจจะความจริง ซึ่งก็คือจะต้องมีการอบรมเจริญสติปัฏฐาน อันเป็นการรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ซึ่งการรู้ธรรมที่มีในขณะนี้ ธรรม คือ จิต เจตสิก รูป ที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้กระทบสัมผัส การคิดนึก ความโกรธ ความชอบ ความมีเมตตา สี เสียง กลิ่น รส เป็นต้น ล้วนแล้วแต่เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน การรู้ความจริง ก็คือรู้ธรรมเหล่านี้เองที่มีในชีวิตประจำวัน ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา
สำคัญที่สุดคือ สภาพธรรมที่ควรรู้ และกำลังมีนั้น ล้วนแล้วแต่ไม่เลือกเวลา สถานที่และอิริยาบถเลย คือ สามารถมีและปรากฏให้รู้ได้ ไม่ว่าในอิริยาบถใด ขณะที่ยืน ก็มีธรรม มีเห็น ได้ยิน เป็นต้น ขณะที่นอน ขณะที่นั่ง ขณะที่เดิน เป็นต้น ไม่ว่าอิริยาบถใดก็มีสภาพธรรมที่เกิดขึ้น กำลังปรากฏ ดังนั้น ปัญญาที่เป็นการเจริญสติปัฏฐาน อันเป็นหนทางที่ทำให้บรรลุธรรม คือ การรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ดังนั้น เมื่อปัญญาเกิดขึ้น ก็สามารถเกิดได้ ไม่ว่าอิริยาบถใด เพราะว่าทุกๆ อิริยาบถ มีธรรมปรากฏให้รู้ได้ตลอด ไม่ว่าจะนั่งก็มีธรรม จะนอนก็มีธรรม จะยืนก็มีธรรม จะเดินก็มีธรรม เมื่อไหร่ที่ปัญญาถึงพร้อม ก็สามารถระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้น ซึ่งขณะนั้นอาจจะยืนอยู่ก็ได้ครับ ขณะที่สติเกิดระลึกรู้ตัวธรรม ก็บรรลุในณะที่ยืน แต่ก็รู้ตัวธรรมนั่นเอง หรือ รู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนั่ง นอน เดินก็ได้แล้วบรรลุ ครับ
ดังนั้น ที่บรรลุด้วยอิริยาบถต่างๆ กันครับ เพราะความถึงพร้อมของปัญญา หรือ ความแก่กล้าของปัญญาที่แตกต่างกัน ก็แล้วแต่ครับว่าจะถึงพร้อมตอนไหน คือ ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ ก็ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้น แล้วบรรลุ แต่ก็แล้วแต่ว่าปัญญาถึงพร้อมในอิริยาบถไหนนั่นเอง จึงทำให้บรรลุในอิริยาบถต่างๆ กัน แต่แม้จะด้วยอิริยาบถต่างกันในขณะที่บรรลุ แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือ มีปัญญาเกิดขึ้นรู้ความจริงเหมือนกันเพราะอาศัยปัญญาและสภาพธรรมฝ่ายดีอื่นๆ มีสติ ศรัทธา เป็นต้น ก็ทำให้รู้ความจริงและบรรลุได้ และอีกสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ รู้ตัวธรรมที่กำลังปรากฏในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ก็ต้องรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ไม่ได้รู้อย่างอื่นเลย ซึ่งกว่าจะถึงการบรรลุธรรม ก็จะต้องเริ่มจากปัญญาขั้นการฟัง ศึกษาพระธรรมไปเรื่อยๆ ปัญญาจะค่อยๆ เจริญและทำหน้าที่ จนถึงเมื่อปัญญาถึงพร้อม ก็สามารถรู้ความจริง ดังเช่น พระพุทธเจ้า และพระสาวก ผู้รู้ตามพระองค์ได้รู้แล้วนั่นเอง ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในพระไตรปิฎก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมแก่พุทธบริษัท เพื่อการเข้าใจตามความเป็นจริง ทรงแนะนำสาวกตลอดพระชนชีพของพระองค์ด้วยการแสดงพระธรรมโดยละเอียด โดยประการทั้งปวง โดยนัยต่างๆ เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงตามความเป็นจริง สิ่งที่จำเป็นที่สุด คือ การศึกษาพระธรรมคำสอนให้เข้าใจ ถ้าขาดความเข้าใจพระธรรมคำสอนแล้ว ไม่สามารถที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงได้เลย แต่ถ้าศึกษาพระธรรมที่แสดงความจริงจนเข้าใจ ย่อมค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ไม่ต้องไปทำอะไรที่ผิดปกติขึ้นมา แม้จะยืน เดิน นั่ง นอน มีสภาพธรรมปรากฏ ก็สามารถเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงได้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...