บันเทิงในธรรม...ที่ตลาดน้ำอัมพวา
เมื่อบ่ายวันพุธที่19 พ.ย. 57 ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้รับเชิญจาก ทพ.ยศยง ตั้งวิชิตฤกษ์ เจ้าของฐณิชาฌ์ รีสอร์ท อัมพวา ไปสนทนาธรรม ที่ห้องประชุมของรีสอร์ท ริม คลองอัมพวา ท่านเจ้าภาพแจ้งมาว่า เชิญสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ด้วย และห้องประชุม สามารถรับรองผู้ฟังได้ถึง 100 คน พวกเราจึงติดตามท่านอาจารย์ไปประมาณ 50 คน แน่นห้องประชุม มองไปทางไหนก็มีแต่หน้าคนคุ้นเคย รู้สึกเหมือนอยู่ในห้องประชุมของ มศพ. ได้ยินเสียงน้องที่นั่งข้างหลัง (หน้าไม่คุ้นเคย) คุยกันว่า วันนี้คนเยอะ เพราะท่านอาจารย์ มี ลูกศิษย์มาก ไม่เหมือนอาทิตย์ก่อนที่มีคน 10 กว่าคน หันไปคุยกับน้อง จึงทราบว่า น้องเป็น สมาชิกของการสนทนาธรรมที่นี่ ที่จะเชิญวิทยากรมาอาทิตย์ละครั้ง เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ท่าน อาจารย์คงทราบแล้ว เพราะตอนแรกคิดเอาเองว่า คุณหมอคงเป็นลูกศิษย์ที่ฟังทางวิทยุ ท่านอาจารย์เคยพูดว่า ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน ถ้าเขาเชิญก็ต้องไป เพราะแสดงว่าเขาอยากฟังเรา พูด ถึงเชิญมา และ สำหรับเราผู้ฟัง ไม่ว่าท่านอาจารย์จะพูดที่ไหน กับใคร ก็พูดธรรมะ ถ้ามี โอกาสฟังด้วยดี จนสามารถเข้าใจขึ้นได้ว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรมะอย่างไร ก็จะเป็นประโยชน์ อย่างยิ่ง
ออกเดินทางไปกับน้องวันชัยและน้องโม่ย ถึงอัมพวาก่อนใคร แวะไปดูสถานที่สนทนาธรรม แล้วไปตลาดน้ำดำเนินสะดวก เพื่อรับประทานอาหารกลางวันริมคลอง วันนั้น อากาศกำลัง สบาย ลมพัดเย็น น้ำในคลองก็ใสสะอาด ได้บรรยากาศดี เหมือนไปท่องเที่ยว ไม่ได้ไปนาน นับสิบปี อะไรๆ ก็นานนับสิบปีทั้งนั้น ไม่น่าเชื่อเลยว่า จะอยู่ในโลกมานานขนาดนี้แล้ว จริงๆ แล้วชีวิตที่ผ่านไปทุกขณะ ก็เหมือนท่องเที่ยวนั่นแหละ เพียงแต่ว่าในความจำของเรา จำเป็น เรื่องราวว่ายังอยู่ที่เดิม บ้านเดิม จะท่องเที่ยวก็เมื่อไปต่างที่ ไม่จำเจอยู่ที่เดียว จากการศึกษา ก็รู้ขั้นฟังว่า แต่ละขณะไม่เหมือนเดิม เกิดดับสืบต่อ ไม่ซ้ำกันด้วย เพียงแต่ยังไม่รู้จริงๆ อย่าง นั้น เท่านั้นเอง
กลับมาที่รีสอร์ท ยังไม่ถึงเวลาสนทนาธรรม จึงเดินเล่นริมคลอง ผ่านร้านขายของชำที่มี ลักษณะเหมือนร้านในตลาดร้อยปี ได้ยินเสียงท่านอาจารย์ในรายการแนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนเที่ยงครึ่ง ไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า จึงเดินเข้าไปฟังใกล้ๆ เจ้าของร้านสาวใหญ่หน้าหวาน บอกว่า “ฟังอาจารย์สุจินต์” เรารู้สึกดีใจเหมือนพบญาติ เธอบอกว่า ไม่เคยเห็นหน้าท่านเลย ได้แต่ฟังทางวิทยุ เลยบอกว่าเดี๋ยวอาจารย์ก็มาพูดใกล้ๆ นี่เอง เธอถามว่า อาจารย์กินเจ หรือ เปล่า จะฝากอาหารไปให้ เลยบอกว่า เดี๋ยวท่านอาจารย์ก็มา เอาไปให้ท่านเองก็แล้วกัน เธอ จึงได้พบหน้าท่านอาจารย์เป็นครั้งแรก แต่ไม่ได้ไปร่วมฟังธรรมด้วย เพราะอยู่คนเดียว ไม่มี ใครเฝ้าร้าน (แสดงว่า ยังไม่เข้าใจธรรมะ จึงเห็นการเฝ้าร้านเพื่อขายของเลี้ยงชีพนั้นสำคัญ กว่าการเข้าใจธรรมะ อันนี้คิดเองค่ะ เธออาจจะเข้าใจมากจนรู้ว่า ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ทำอะไรก็ ล้วนแต่เป็นธรรมะก็ได้)
ได้เวลาสนทนาธรรม ก็มีคำถามจากผู้ฟังที่นั่นหลายคำถาม ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องที่ยังไม่มั่นคง ในคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงว่า “ทุกอย่างเป็นธรรมะที่เป็นอนัตตา” ท่านอาจารย์ก็ตั้งต้นอธิบายตั้งแต่ ธรรมะคืออะไร อะไรเป็นธรรมะบ้าง เราได้ยินมาบ่อยแล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าใจ เพราะตอนฟังไม่ได้ฟังด้วยดี ที่ว่า เห็นเป็นเห็น ไม่ใช่เรานั้น ไม่ได้คิดตามไป ด้วยว่า เห็นเป็นเห็นอย่างไร ไม่ใช่เราอย่างไร แต่เมื่อฟังหลายๆ ครั้ง ก็เริ่มคิดตามว่า เห็นคือ อย่างนี้ คือรู้ทางตา ถ้าหลับตาก็ไม่มีเห็น เพิ่งเริ่มคิดตามค่ะ ยังไม่รู้อะไรมากไปกว่านี้ แต่ก็ ดีใจ ที่เริ่มจะคิดตามบ้าง (ดีใจก็เป็นเครื่องเนิ่นช้าอีกแล้ว เพราะยังไม่รู้ว่าดีใจเป็นธรรมะ ไม่ใช่เราดีใจ)
เข้าใจแว่บขึ้นมาว่า ที่ต้องกล่าวถึงเห็นบ่อยๆ ได้ยินบ่อยๆ ว่าเป็นธรรมะ ก็เพื่อให้พิจารณา เห็น ได้ยินที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ให้เข้าใจว่า เป็นธรรมะอย่างไร เข้าใจเพียงเล็กน้อย ก็เกิด ความบันเทิงในธรรมแล้วค่ะ กราบเท้าขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่เมตตาพร่ำสอนบ่อยๆ เนืองๆ อย่างไม่เบื่อหน่ายเลย ผู้ฟังอย่างเราฟังบ่อยก็ยังไม่รู้ แถมบางครั้งยังเบื่ออีกทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ อย่างนี้เรียกว่า “โง่แล้วยังหยิ่ง” ใช่ไหมคะ)
จบการสนทนาธรรม คหบดีใหญ่เมืองแม่กลอง สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ผู้มีศรัทธาในการฟัง ธรรมและทำทาน คุณประสาร – คุณรัชนีวรรณ บุญชู เชิญพวกเราทั้งหมด 50 คน รับประทาน อาหารเย็นที่ร้านอาหารริมน้ำ จำชื่อร้านไม่ได้ค่ะ ท่านทั้งสองสั่งอาหารมากมายจนรับประทาน ไม่หมด บางคนต้องเอากลับบ้านอีกขอขอบคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ
ครั้งหนึ่งในสังสารวัฏฏ์ก็ผ่านไปอีกครั้งค่ะ ไม่เหลืออะไรเลย อาหารอร่อยอย่างไร บรรยากาศ ดีอย่างไรก็ลืมหมดแล้ว เหลือแต่ความจำที่ไม่ใช่ของจริงที่ปรากฏแล้วผ่านไปแล้ว ขอบคุณน้องวันชัยและน้องโม่ย ที่ชวนไปด้วย ทำให้ได้เข้าใจธรรมะเพิ่มขึ้นอีกนิดหนึ่งค่ะ
ทุกครั้งที่มีการสนธนาธรรมะ ท่านอาจารย์สุจินต์ ท่านกล่าวธรรมะที่เป็นปรมัถธรรมจริงๆ นี่แหละคือความจริง พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว ไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด ไพเราะเพราะทรงแสดงความจริง เป็นสัจจะ
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ