ธรรมที่บรรพชิตพึงพิจารณาเนื่องๆ ๑๐ ประการ [อรรถกถาอภิณหปัจจเวกขณธรรมสูตรที่ ๘] ตอน ๒

 
เมตตา
วันที่  21 พ.ย. 2557
หมายเลข  25811
อ่าน  930

[เล่มที่ 38] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้าที่ 158 - 162

อรรถกถาอภิณหปัจจเวกขณธรรมสูตรที่ ๘

อภิณหปัจจเวกขณธรรมสูตรที่ ๘

พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้. บทว่า ปพฺพชิเตน ได้แก่ ผู้ละฆราวาส การครองเรือนเข้าถึงการ บวชในพระศาสนา.

บทว่า อภิณฺหํ แปลว่า เนืองๆ บ่อยๆ .

บทว่า ปจฺจเวกฺขิตพฺพา แปลว่า พึงสำรวจดู พึงกำหนดดู.

บทว่า เววณฺณิยํ แปลว่า ความมีเพศต่าง ความมีรูปต่างๆ ก็ ความมีเพศต่างนั้นมี ๒ อย่าง คือ ความมีเพศต่างโดยสรีระ ๑ ความ มีเพศต่างโดยบริขาร ๑ บรรดาความมีเพศต่าง ๒ อย่างนั้น ความมีเพศต่าง โดยสรีระ พึงทราบได้ด้วยการปลงผมและหนวด. ก็ก่อนบวช แม้นุ่งผ้า ก็ต้องใช้ผ้าดีเนื้อละเอียด ย้อมสีต่างๆ แม้บริโภคก็ต้องกินรสอร่อยต่างๆ ใส่ภาชนะทองและเงิน แม้นอนนั่งก็ต้องที่นอนที่นั่งอย่างดีในห้องสง่างาม แม้ประกอบยาก็ต้องใช้ เนยใส เนยข้น เป็นต้น ตั้งแต่บวชแล้ว จำต้องนุ่งผ้าขาด ผ้าปะ ผ้าย้อมน้ำฝาด จำต้องฉันแต่ข้าวคลุกในบาตรเหล็ก หรือบาตรดิน จำต้องนอนแต่บนเตียงลาดด้วยหญ้าเป็นต้น ในเสนาสนะ มีโคนไม้เป็นอาทิ จำต้องนั่งบนท่อนหนึ่งและเสื่อลำแพนเป็นต้น จำต้อง ประกอบยาด้วยน้ำมูตรเน่าเป็นต้น. พึงทราบความมีเพศต่างโดยบริขาร ในข้อนี้ ด้วยประการฉะนี้. ก็มรรพชิตพิจารณาอยู่อย่างนี้ ย่อมละโกปะ ความขัดใจ และมานะความถือตัวเสียได้. บทว่า ปรปฏิพทฺธา เม ชีวิกา ความว่า บรรพชิตพึงพิจารณา อย่างนี้ว่า ความเป็นอยู่ด้วยปัจจัย ๔ จำต้องเกี่ยวเนื่องในผู้อื่น อิริยาบถ ก็สมควร อาชีวะการเลี้ยงชีพก็บริสุทธิ์ ทั้งเป็นอันเคารพยำเกรงบิณฑบาต ชื่อว่าเป็นผู้บริโภคไม่พิจารณาในปัจจัย ๔ ก็หามิได้.

บทว่า อญฺโญ เม อากกฺโป กรณีโย ความว่า บรรพชิตพึงพิจารณา ว่าอากัปกิริยาเดินอันใดของเหล่าคฤหัสถ์ คือย่างก้าวไม่กำหนด โดยอาการ ยืดอกคอตั้งอย่างสง่างาม เราพึงทำอากัปกิริยาต่างไปจากอากัปกิริยาของ คฤหัสถ์นั้น เราพึงมีอินทรีย์สงบ มีใจสงบ มองชั่วแอก ย่างก้าวกำหนด แต่น้อย [ไม่ย่างก้าวยาว] พึงเดินไปเหมือนนำเกวียนบรรทุกน้ำไปในที่ ขรุขระ. ด้วยว่า บรรพชิตพิจารณาอยู่อย่างนี้ ย่อมมีอากัปกิริยาสมควร สิกขา ๓ ย่อมบริบูรณ์. ศัพย์ว่า กจฺจิ นุ โข รวมนิบาตลงในความกำหนด.

บทว่า อตฺตา ได้แก่ จิต.

บทว่า สีลโต น อุปวทติ ได้แก่ ไม่ตำหนิตนเองเพราะศีลเป็น ปัจจัยอย่างนี้ว่าศีลของเราไม่บริบูรณ์. ด้วยว่า บรรพชิตพิจารณาอยู่อย่างนี้ ย่อมตั้งหิริความละอายขึ้นภายใน. หิรินั้น ก็ให้สำเร็จความสำรวมใน ทวารทั้ง ๓. ความสำรวมในทวารทั้ง ๓ ย่อมเป็นจตุปาริสุทะศีล บรรพ- ชิตผู้ตั้งอยู่ในจตุปาริสุทธิศีล เจริญวิปัสสนาแล้ว ย่อมยึดพระอรหัตไว้ได้.

บทว่า อนุวิจฺจ วิญฺญ สพฺรหฺมจารี ความว่า เหล่าสพรหมจารีผู้ ประพฤติพรหมจรรย์ร่วมกับผู้เป็นบัณฑิต พิจารณาใคร่ครวญแล้ว. ด้วยว่า บรรพชิตพิจารณาอยู่อย่างนี้ โอตตัปปะ ความเกรงกลัวบาปภายนอก ย่อมตั้งขึ้น. โอตตัปปะนั้น ย่อมให้สำเร็จความสำรวมในทวารทั้ง ๓. ดังนั้น จึงควรทราบโดยนัยในลำดับถัดมานั้นแล.

บทว่า นานาภาโว วินาภาโว ความว่า ความเป็นต่างๆ เพราะ เกิดมา ความพลัดพราก เพราะมรณะ. ด้วยว่า บรรพชิตพิจารณาอยู่อย่าง นี้ ชื่อว่าไม่มีอาการคือประมาทในทวารทั้ง ๓. มรณัสสติ ความระลึก ถึงความตาย ก็เป็นอันตั้งลงด้วยดี.


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เมตตา
วันที่ 21 พ.ย. 2557

ในบทว่า กมฺมสฺสโกมฺหิ เป็นต้น พึงทราบวินิจฉัย ดังนี้. กรรม เป็นของเรา คือเป็นสมบัติของตน เหตุนั้น เราจึงเป็นผู้มีกรรมเป็น ของของเรา. ผลที่กรรมพึงให้ ชื่อว่าผลทายะ ผลแห่งกรรม ชื่อว่า กรรมทายะ ผลแห่งกรรม เราย่อมรับผลแห่งกรรมนั้น เหตุนั้น เราจึงเป็น ผู้รับผลแห่งกรรม. กรรมเป็นกำเนิด คือเหตุของเรา เหตุนั้น เราจึงเป็น ผู้มีกรรมเป็นกำเนิด. กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เป็นญาติของเรา เหตุนั้น เราจึง เป็นผู้มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์. กรรมเป็นที่พึ่งอาศัยของเรา เหตุนั้น เราจึงเป็น ผู้มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย.

บทว่า ตสฺส ทายาโท ภวิสฺสามิ ได้แก่ เราจัก เป็นทายาท คือเป็นผู้รับผลที่กรรมนั้นให้แล้ว. ด้วยว่า บรรพชิตพิจารณา ถึงความที่เรามีกรรมเป็นของของตนอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่ชื่อว่ากระทำบาป.

บทว่า กถมฺภูตสฺส เม รตฺตินฺทิวา วีติปตนฺติ ความว่า คืนวัน ล่วงไป เปลี่ยนแปลงไป เราเป็นอย่างไร คือเรากำลังทำวัตรปฏิบัติอยู่ หรือๆ ว่าไม่ทำ ท่องบ่นพระพุธวจนะอยู่หรือๆ ว่าไม่ท่องบ่น กำลังทำกิจกรรมในโยนิโสมนสิการอยู่หรือๆ ว่าไม่ทำ. ด้วยว่า บรรพชิต พิจารณาอยู่อย่างนี้ ความไม่ประมาท ย่อมบริบูรณ์.

บทว่า สุญฺญาคาเร อภิรมานิ ความว่า เราแต่ผู้เดียวอยู่ในทุก อิริยาบถ ในโอกาสอันสงัด ยังยินดียิ่งอยู่หรือหนอ. ด้วยว่า บรรพชิต พิจารณาอยู่อย่างนี้ กายวิเวก ย่อมบริบูรณ์.

บทว่า อุคิตริมนุสฺสธมฺมา ความว่า ธรรมทั้งหลายมีฌานเป็นต้น ของท่านผู้ได้ฌาน และพระอริยะ เป็นมนุษย์ที่ยิ่ง เป็นมนุษย์ชั้นอุกฤษฏ์ หรือธรรมทั้งหลายที่ยิ่งยวด ที่ประเสริฐกว่ามนุษย์ธรรม กล่าวคือกุศล กรรมบถ ๑๐ มีอยู่ คือ เป็นอยู่ในสันดานของเราหรือ.

บทว่า อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส ความว่า ชื่อว่า ญาณ เพราะอรรถว่าให้เกิดมหัคต- ปัญญาและโลกุตรปัญญา ชื่อว่า ทัสสนะ เพราะอรรถว่าเห็นธรรมโดย ทำให้ประจักษ์เหมือนดังเห็นด้วยจักษุ เหตุนั้น จึงชื่อว่า ญาณทัสสนะ. ญาณทัสสนะอันเป็นอริยะ คือบริสุทธิ์สูงสุด เหตุนั้น จึงชื่อว่า อริยญาณทัสสนะ. อริยญาณทัสสนะอันอาจ คือเป็นอริยสามารถกำจัดกิเลส มีอยู่ ในธรรมนั้น หรือแก่ธรรมนั้น เหตุนั้น ธรรมนั้น จึงชื่อว่า อลมริยญาณทัสสนะ ได้แก่ธรรมของมนุษย์ผู้ยิ่ง ต่างโดยฌานเป็นต้น. อลมริยญาณทัสสนะนั้นด้วย วิเศษด้วย เหตุนั้น จึงชื่อว่า อลมริยญาณทัสสนวิเสส. อีกนัยหนึ่ง คุณวิเศษ คือญาณทัสสนะอันบริสุทธิ์ สามารถกำจัด กิเลสได้นั้นนั่นเอง เหตุนั้น จึงชื่อว่า อลมริยญาณทัสสนวิเสส ก็ได้.

บทว่า อธิคโต ได้แก่ ความวิเศษที่เราได้ไว้แล้ว มีอยู่หรือหนอ.

บทว่า โสหํ ได้แก่ เรานั้นมีคุณวิเศษอันได้ไว้แล้ว.

บทว่า ปจฺฉิเม กาเล ได้แก่ ใน เวลานอนบนเตียงสำหรับ.

บทว่า ปุฏฺโฐ ได้แก่ ถูกเพื่อนสพรหมจารีถามถึงคุณวิเศษที่บรรลุ.

บทว่า น มงฺกุ ภวิสฺสามิ ได้แก่เราจักไม่เป็นผู้ คอตก หมดอำนาจ. ด้วยว่า บรรพชิตพิจารณาอย่างนี้ ย่อมไม่ชื่อว่า ตายเปล่า

จบอรรถกถาอภิณหปัจจเวกขณธรรมสูตรที่ ๘

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 20 มิ.ย. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ