สภาพธรรมแต่ละขณะที่เกิดขึ้น เป็นภาระ
ภาระคือ อุปทานขันธ์ ๕ ผู้แบกภาระคือ บุคคล สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นภาระ เพราะฉะนั้นภาระคือขันธ์ คือสิ่งที่มีจริง ไม่มีผู้ใดแบกภาระ มีแต่สภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วดับไป หากไม่ได้ฟังพระธรรมด้วยความเป็นผู้ละเอียด รอบคอบ ก็ไม่รู้เลยว่า เห็นขณะที่เกิดขึ้นเป็นภาระแล้ว ขณะที่ยึดถือภาระว่าเป็นเรา เราเห็น เราได้ยิน เราโกรธ ก็เป็นบุคคลแบกภาระ เกิดมาแล้วก็ต้องเห็น ค่อยๆ เข้าใจขึ้นโดยเห็นโทษของขันธ์ที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ถ้าไม่มีขันธ์เสียเลย ภาระก็ไม่มี ขันธ์ที่เกิดขึ้นแล้วดับไปมีประโยชน์หรือเปล่าหรือเป็นโทษ เพียงคิดที่จะวางภาระบ้างหรือยัง? มีปัญญาพอที่จะเห็นหรือยัง ขณะนี้มีสภาพธรรมเกิดขึ้นแล้วดับไป เห็นเป็นภาระไหม? เกิดขึ้นแล้วดับไป ปัญญาเท่านั้นที่เข้าใจ เห็น ตามความเป็นจริง จนสามารถดับกิเลสจนถึงนิพพาน แต่ไม่เคยรู้เลยว่า เห็นไม่ใช่เรา อวิชชา โลภะ ความติดข้องทั้งหลายไม่สามารถเข้าใจได้ จึงต้องอบรมเจริญปัญญา รู้สภาพเห็นตามความเป็นจริง จนกว่าจะดับกิเลสได้หมดสิ้น เห็นเกิดแล้วดับไป สภาพธรรมทั้งหลายก็เหมือนเห็น เกิดแล้วก็ดับไป แต่เพราะความไม่รู้มีมาก หลังเห็นก็นำมาซึ่งความติดข้อง เห็นขณะนี้เป็นภาระ ยังต้องการเห็นอีก... ก็ไม่มีทางถึงนิพพานเลย
จิต เจตสิกเกิดขึ้นกระทำกิจ (ภาระ) แม้สติปัฏฐานเกิดก็ยังเป็นจิต เจตสิก ที่เกิดขึ้นกระทำกิจ ค่อยๆ ปลงภาระ ถึงการดับกิเลสทั้งปวง ขณะอรหัตตมรรคเกิดขึ้นดับกิเลสหมดสิ้นเป็นสมุจเฉท ไม่ต้องมีการเกิดขึ้นของภาระในภพใหม่ แต่หากพระอรหันต์ยังไม่ดับขันธปรินิพพาน ก็ยังต้องทำหน้าที่ ภาระต่อไป เพราะท่านยังต้องเห็น ได้ยิน และคิด สำหรับพระโสดาบันดับความเห็นผิด และวิจิกิจฉา เพราะฉะนั้นท่านดับภาระที่จะไม่เกิดความเห็นผิด และวิจิกิจฉาอีกต่อไป
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างยิ่งค่ะ...