การปฏิบัติธรรมะที่เป็นไปตามลำดับขั้น
ขั้นของการฟัง ขั้นปฏิบัติ ขั้นปฏิเวทะ ขณะนี้กำลังอยู่ที่ขั้นการฟัง ฟังอะไรก็พิจารณา ถามหากไม่เข้าใจ จนเป็นความรู้ของตนเอง พอธรรมะปรากฏให้พิจารณา ก็น้อมจิตไปพิจารณา ปฏิบัติธรรมสมควรธรรม เช่นขณะที่อยู่ในวงสนทนาเรื่องสัพเพเหระ จิตระลึกได้ว่าธรรมะปรากฏ ถ้าเป็นปกติของศีล ก็จะไม่กล่าวคำที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง ถึงแม้คำจริง มีประโยชน์ แต่สถานการณ์ ไม่ควรกล่าว ความขัดแย้งก็ไม่เกิด และระลึกได้ว่าธรรมกระทำกิจแห่งตน แล้วก็ผ่านไปขณะหนึ่ง ขณะใหม่ก็เข้ามา แต่นี่ไม่ใช่ไปจดจ้องสติระลึกของเขา จะเกิดได้ก็ต้องกระทำบ่อยๆ เนืองๆ หลงลืมไปบ้างเพราะยังเป็นปุถุชนอยู่ บางขณะก็เพ้อเจ้อ กว่าจะระลึกได้เป็นวัน ธรรมะก็เป็นแบบนี้ใช่ไหมค่ะท่านอาจารย์ ยอมรับว่าหลงลืมสติมากกว่าระลึกได้ บางครั้งโกรธเป็นวัน เพราะยังเป็นตัวตนมาก เราโกรธ ต้องฟังต่อไปอีก ไม่มีการหยุดฟัง มากหรือน้อยก็ควรฟัง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของชีวิตประจำวันที่เป็นปกติ สมกับคำว่า เป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน ไม่มีเราที่จะไปบังคับสภาพธรรม ไม่มีเราที่จะให้เป็นคนดี หรือ ให้ไม่ทำไม่ดี เพราะธรรมเป็นไปตามเหตุปัจจัยและไม่ใช่เรา เมื่อไม่ใช่เรา ก็ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ หนทางที่ถูกต้อง คือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมต่อไป โดยเข้าใจถูกเสมอว่าเป็นแต่เพียงธรรม แม้ในขั้นการฟัง อกุศลเกิดขึ้นก็เป็นปกติธรรมดา เพราะเป็นปกติที่เป็นธรรม กุศลเกิดขึ้นจะน้อยมากก็เป็นธรรมดา ธรรมดาเพราะเป็นธรรม เมื่อเข้าใจถูกเช่นนี้ ก็จะไม่เดือดร้อนที่เมื่ออกุศลเกิด หรือไม่ไปพยายามที่จะฝืน จะทำไม่ให้อกุศลเกิด แต่อบรมเหตุต่อไป คือ ฟังในหนทางที่ถูก ที่เข้าใจถูกว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา
การเข้าใจเช่นนี้เป็นสัจจญาณที่จะทำให้มั่นคงจนถึงที่สุด ปัญญารู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังทั้ง กุศล อกุศล ว่าไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงธรรม ย่อมค่อยๆ ละคลายความยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์บุคคลได้ในที่สุด อันเป็นกิเลสที่จะต้องละอันดับแรก คือ ความยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ถ้าหากว่าไม่มีการศึกษาพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่มีความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่มีทางที่จะมีปัญญาเจริญขึ้นในขั้นต่อไปที่เป็นขั้นระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง จนถึงขั้นประจักษ์แจ้งความจริงดับกิเลสตามลำดับขั้นได้เลย ถ้าหากว่าไม่ต้องเรียนปริยัติ ให้ไปทำอย่างหนึ่งอย่างใดขึ้นมาเพื่อที่จะได้รู้ความจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คงไม่ต้องมีก็ได้ แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เพราะพระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรม แล้วทรงแสดงให้ผู้อื่นได้รู้ตามความเป็นจริง ทรงแสดงพระธรรมตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา ก็เพื่อประโยชน์คือความเข้าใจถูกเห็นถูกของผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาอย่างแท้จริง เพราะธรรมไม่ง่ายและไม่สามารถคิดธรรมเอาเองได้
พระอริยสงฆ์สาวกในอดีตเริ่มตั้งแต่พระอัญญาโกญฑัญญะ เป็นต้น ล้วนเป็นผู้ได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้วทั้งนั้น
ถ้ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแล้ว ก็จะไม่ว่างเว้นจากการศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาเลย ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ดำเนินตามหนทางที่พระอริยสงฆ์สาวกดำเนินแล้ว ซึ่งเป็นหนทางเดียวและเป็นหนทางเดิมคือหนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา เพราะมีปริยัติที่ถูกต้อง ปฏิปัตติคือการถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏด้วยสติและปัญญา จึงมีได้ และเพราะมีปฏิปัตติที่ถูกต้อง ปฏิเวธจึงมีได้ ซึ่งจะต้องมีรากฐานสำคัญตั้งแต่ในขั้นปริยัติ คือ การรอบรู้ในพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...