ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ แม่สอด ๒๕ - ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  7 ธ.ค. 2557
หมายเลข  25878
อ่าน  2,051

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันที่ ๒๕ - ๒๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

และ คณะสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ.

นำโดย ท่านพลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร กรรมการมูลนิธิฯ สมาชิกชมรมฯ ลำดับที่ ๖

ได้เดินทางไปมอบเครื่องใช้ที่จำเป็น เช่นผ้าพันคอไหมพรมนับพันผืน

ที่สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ได้ร่วมกันถักทอด้วยมือ รวมทั้งเสื้อยืดคอกลมนับพันตัว ผ้าขนหนู

เครื่องโกนหนวด ข้าวของเครื่องใช้จำเป็น ยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ

ที่คุณเบญจวรรณ รัศมีสุวรรณกุล เป็นเจ้าภาพจัดหาไปสมทบ ร่วมกับสหายธรรมท่านอื่นๆ

รวมมูลค่านับแสนบาท กับทั้งได้ดำเนินการจัดส่งไปรอไว้ก่อนล่วงหน้า ด้วยความเรียบร้อย

ณ กองบังคับการหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ ๔ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก

โดยท่านอาจารย์และคณะฯ ได้ออกเดินทางโดยเครื่องบินไปยังท่าอากาศยานแม่สอด

ในตอนสายของวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา

โดยมีสมาชิกชมรมฯบางส่วน เดินทางโดยรถทัวร์ไปก่อนล่วงหน้าถึงแม่สอดในตอนเช้าตรู่

สำหรับข้าพเจ้าเอง ได้ออกเดินทางไปโดยรถยนต์ส่วนตัวโดยล่วงหน้าเช่นกัน

โดยไปพักค้างคืน ที่จังหวัดนครสวรรค์ก่อนคืนหนึ่ง

และออกเดินทางไปยังอำเภอแม่สอดในตอนเช้า

ถึงแม่สอดทันเวลาอาหารกลางวันพร้อมกับคณะของท่านอาจารย์พอดี

หลังรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ท่านอาจารย์และคณะฯ

ซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างดี จากกองทัพภาคที่ ๓

ด้วยการส่งรถตู้อย่างดีมารับคณะ ที่เดินทางมาบริจาคสิ่งของแก่หทารหาญ

จำนวนทั้งสิ้นถึง ๖ คัน และ ได้เดินทางไปยังกองบังคับการหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ ๔

โดยมีคณะทหารตั้งแถวให้การต้อนรับคณะของท่านอาจารย์ ด้วยความอบอุ่นอย่างยิ่ง

หลังการสักการะพระพุทธรูปประจำหน่วยและอนุเสาวรีย์ของสมเด็จพระนเรศวรแล้ว

พลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร ได้กล่าวให้โอวาทแก่ทหารที่มารอให้การต้อนรับ

ก่อนที่ท่านอาจารย์และชาวสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ จะได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภคดังกล่าว

โดยในการนี้ คุณเบญจวรรณ รัศมีสุวรรณกุล ยังได้มอบเงินเพื่อสนับสนุนในกิจการของหน่วย

แก่ท่านผู้บังคับการกรมฯเพิ่มเติม เป็นจำนวนถึง ๕๐,๐๐๐ บาท อีกด้วย

"ทำดี และ ศึกษาพระธรรม"

คือ คำ ที่มีความหมายลึกซึ้งอย่างยิ่ง

ที่ท่านอาจารย์ได้มอบไว้ให้แก่ชาวสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ

ผู้ที่ศึกษาและเริ่มเข้าใจธรรมะ ย่อมรู้ว่า เพียงคำว่า "ทำดี" นั้น มีความหมายที่กว้างขวาง

ลึกซึ้งยิ่ง สำหรับ บารมีทั้ง ๑๐ ประการ ที่จะเจริญขึ้น เป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลให้ถึงฝั่ง

ความดี หรือ กุศลธรรมทุกประการ

อันมี ปัญญา คือ ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก อันเป็นยอดของความดีทั้งปวง เท่านั้น

ที่จะชำระจิตให้บริสุทธิ์จากกิเลส

ทั้งไม่ลืมว่า ความดีทุกๆ ประการนั้น เป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา

เป็นความเมตตาอย่างยิ่งของท่านอาจารย์ ในความแยบคาย ที่จะนำพาทุกคน

ไปบนหนทางแห่งการละ หนทางที่บริสุทธิ์ หมดจดจากกิเลสได้ ในวันหนึ่ง

ด้วยการสะสมความดีทุกประการ ไปพร้อมๆ กับการศึกษาและเข้าใจพระธรรม

หนทางแห่งการสะสม อบรม เจริญปัญญา อันเป็นหนทางเดียว ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ แก่ผู้ที่ได้สะสมบุญมาที่จะได้มีโอกาสเข้าใจได้

ซึ่งหลังการมอบสิ่งของเสร็จ ก็เป็นโอกาสของการสนทนาธรรม ที่ทางทหารได้จัดไว้

อนึ่ง ในการเดินทางของคณะฯของท่านอาจารย์ในครั้งนี้ มีหลายท่าน ได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า

รู้สึกประทับใจในการต้อนรับของทหารหาญทุกท่านเป็นอย่างยิ่ง

ถ้าไม่ได้มา คงจะเสียดายมาก

สำหรับทุกๆ ท่าน ที่ไม่ได้ไป คงจะไม่ต้องเสียดายนะครับ เพราะข้าพเจ้าพยายามที่จะนำภาพ

ตลอดเวลา ๓ วัน ที่คณะของท่านอาจารย์ ได้เดินทางไปในที่ต่างๆ มาเป็นของฝากแล้ว

ทั้งยังมีภาพที่ท่านจะไม่เคยได้เห็นมาก่อน

เป็นภาพที่ท่านอาจารย์ ออกกำลังกายด้วยการรำไท้เก๊ก ร่วมกับสหายธรรมในตอนเช้า

เป็นภาพที่งดงาม และ น่าปีติที่ได้เห็นภาพของท่านอาจารย์ในวัย ๘๘ ปี

มีสุขภาพที่สดชื่น แข็งแรง เป็นอย่างยิ่ง ต้องขอขอบพระคุณพี่ปริญญา สีดาโสม

ที่กรุณาโทรฯขึ้นไปตามข้าพเจ้าขณะกำลังจะอาบน้ำในตอนเช้า

ทำให้ต้องรีบคว้ากล้อง วิ่งลงมาบันทึกภาพที่น่าปีตินั้นไว้ ทั้งๆ ที่อยู่ในชุดนอน

เป็นความเมตตาของท่านอาจารย์ ที่แสดงให้ทุกๆ ท่านเห็นถึงความหมาย

และความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น ของคำว่า

เป็นผู้มีความเป็นปรกติ อบรมเจริญสติ ในชีวิตประจำวัน

ปรกติ ด้วยปัญญา ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ในความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้

"ทุกขณะ เป็น ธรรมะ"

อันดับต่อไป ข้าพเจ้าขออนุญาตนำเสนอภาพกิจกรรมของคณะของท่านอาจารย์

ที่เดินทางไปในครั้งนี้ทั้ง ๓ วัน ประกอบกับความการสนทนาธรรม

ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวเกริ่นนำแก่ทหารหาญของชาติ ในวันแรก ถึงความเป็นชาวพุทธ

ความหมายที่แท้จริงของการกล่าวว่า มีพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง

และ การเน้นย้ำ ถึงความเข้าใจจริงๆ แม้ "คำ" เพียงคำเดียวที่ทุกคนดูเหมือนจะเข้าใจแล้ว

แต่ความจริง ไม่ได้เข้าใจเลย แม้จะเป็นคำที่ธรรมดาๆ มากๆ ที่ทุกคนพูดอยู่ทุกวัน

ตั้งแต่เกิด จนถึงบัดนี้ คือคำว่า "ธรรมะ"

พูดถึง "ธรรมะ" แต่ไม่เคยรู้ว่าธรรมะ คือ อะไร?

ข้าพเจ้าหวังว่า ทุกท่าน ที่เพิ่งจะได้เข้ามาสู่พระศาสนาโดยการศึกษา จะได้ประโยชน์

จากคำที่ท่านอาจารย์กล่าวกับทหารหาญในครั้งนี้บ้าง ไม่มากก็น้อย

โดยขอนำภาพที่ได้บันทึกไว้ มาประกอบ โดยไม่บรรยายเพิ่มเติมอีก

ด้วยหวังว่าทุกท่านจะเห็นภาพของชีวิตของผู้ศึกษาธรรม ที่เป็นปรกติ จริงๆ ไม่ผิดปรกติเลย

ชีวิตของผู้ศึกษาธรรม แตกต่างจากผู้อื่นโดยทั่วไปที่ไม่ได้ศึกษาธรรม มีเพียงประการเดียว

คือ ความเข้าใจความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้

ตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ดีแล้ว

อนึ่ง กระทู้นี้จะเป็นอีกกระทู้หนึ่งที่มีความยาวมาก ด้วยเป็นการเดินทางไปถึงสามวัน

และมีภาพที่ประทับใจมากมายหลายภาพ ที่อยากจะบันทึกไว้ นะครับ

พลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร ขอยืนยันว่า (การศึกษาธรรมะ) ไม่ใช่อย่างที่เราเคยเข้าใจเลย

ที่ผมพูดยืนยันว่า ศึกษาธรรมะ ในเครื่องแบบชุดพรางจะได้ไหม?

ขอยืนยันว่า ได้!!!ไม่มีข้อจำกัด ฐานะ เวลา สถานที่

ยิ่งศึกษาได้มากเท่าไหร่ เรายิ่งเป็นนักรบที่สมาร์ทมาก ไม่ใช่นักรบไปนุ่งขาวห่มขาว

ขอยืนยันว่า เป็นการศึกษาพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

จะได้เป็นทหาร ที่ปฏิญานตน ต่อธงชัยเฉลิมพล ว่า

จะรักษา ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ด้วยความรู้ ความเข้าใจ

ไม่ใช่เพราะ เชื่อว่า หรือเข้าใจ (เอาเอง) ว่า...

เพราะฉะนั้น เราก็จะรักษาความถูกต้อง ไม่ใช่รักษาสิ่งที่ผิดๆ

เพราะฉะนั้น วันนี้ ฉก.ร.๔ ก็ถือว่าเป็นหน่วยแรกในรอบหลายปีที่เดินทางมา

กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์ครับ

ขอให้น้องๆ รักษาเวลาอันมีค่าไว้ ไม่ต้องเกรงใจ วันนี้ถือว่าเป็นวันที่โชคดีที่สุดของน้องๆ

ขอยืนว่า ไม่เคยที่เราจะได้รับฟัง เพราะว่า ธรรมะ เป็นเรื่องที่น่าสนใจตั้งนานแล้ว ครับ

ท่านอาจารย์ เวลามีน้อยมาก เพราะฉะนั้น คำถามอาจจะมีเยอะ

เพราะเหตุว่า เป็นเรื่องที่เราไม่คุ้นเคย กับความที่จะต้องรู้จักพระสัมมาสัมพุทธจ้ายิ่งขึ้น

เพราะเหตุว่า ทุกคน ตั้งแต่เกิดมา ก็บอกว่าเป็นชาวพุทธ

แต่ หมายความว่าอะไร?

ชาวพุทธ หมายความว่า ไม่ได้นับถือคำสอนอื่น

แต่ว่า นับถือ ผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้

และ ทุกคนก็ "รู้จักพระองค์" ว่า เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า "เพียงชื่อ"

ใคร "รู้จัก" พระองค์ มากกว่านี้ไหม?

ถ้าจะรู้จัก ก็เป็น เจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติที่ไหน ตรัสรู้ที่ไหน แสดงธรรมครั้งแรกที่ไหน

แล้วก็ปรินิพพาน

นั่น ยังไม่ชื่อว่า "รู้จัก" พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะฉะนั้น การที่จะกล่าวว่า มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง

"พุทธัง สรณัง คัจฉามิ" ต้องมากกว่านั้น

ไม่ใช่เพียงแต่รู้จัก "ชื่อ" ตามหนังสือที่เราเรียนตั้งแต่เด็ก

ว่า เป็นแต่เพียง เจ้าชายสิทธัตถะ บำเพ็ญพระบารมี เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เท่านั้น ยังไม่พอ

เพราะเหตุว่า ในครั้งอดีต พระผู้มีพระภาคฯ ก็เสด็จบิณฑบาตร

แล้วได้ทรงแสดงธรรมในที่ต่างๆ แต่ ผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม มีความเห็นอย่างอื่น

ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า ผู้นี้ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะว่า ไม่ได้ฟังพระธรรม

๒,๕๐๐ กว่าปี ชาวเมืองที่เห็นพระพุทธเจ้า ซึ่งเดี๋ยวนี้เราไม่เห็น แต่ว่า ได้ยินชื่อ

แต่คนในครั้งนั้น ทั้งได้เห็นด้วย

ก็ยัง "ไม่ได้เข้าใจ ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"

เมื่อ "ไม่ได้ฟังพระธรรม"

เพราะฉะนั้น ในอดีต ก็มีคนที่ไม่ได้ฟังพระธรรม แล้วก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เรื่อยมาจนกระทั่งถึง ณ บัดนี้ ก็เช่นเดียวกัน

คือ ใครก็ตาม แม้ว่า มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่ได้ฟังพระธรรมเลย

เราจะรู้ได้อย่างไร? ว่าบุคคลนี้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะเหตุว่า ต้องเป็นผู้ที่ "ตรง"

จึงจะได้สาระจากชีวิต หรือว่า จากความถูกต้อง

ด้วยเหตุนี้ พระธรรมที่ทรงแสดงไว้มากมาย ๔๕ พรรษา

ตั้งแต่เริ่ม หลังจากที่ตรัสรู้ไม่นาน และ ก่อนที่จะปรินิพพานไม่นาน "ทุกคำ" เป็น "คำจริง"

ไม่มีใครสามารถที่จะกล่าวคำนั้นๆ ได้เลย

เพราะว่า "ทุกคำ" มาจากปัญญาจริงๆ ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง

หลังจากที่ได้ทรงบำเพ็ญเพียร เป็นพระโพธิสัตว์มาถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์

เพราะฉะนั้น ยุคนี้ สมัยนี้ เพียงแต่จะไปนั่ง แล้วก็หมดกิเลส

โดยที่ไม่เข้าใจธรรมะ หรือ สิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ เดี๋ยวนี้

ก็เป็นสิ่งที่ เป็นไปไม่ได้

ด้วยเหตุนี้ ก่อนอื่น ต้องไม่ลืม พระธรรม

หรือว่า พระรัตนตรัย , พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ

เป็นรัตนะ ที่ประเสริฐสุด

แล้วเป็นสิ่งซึ่ง ยาก ที่จะได้ยิน ได้ฟัง ยาก ที่จะเห็นคุณค่า

เพราะฉะนั้น เป็นโอกาสที่ว่า เมื่อได้ฟังแล้ว เราก็ไม่ผ่านไป ด้วยความคิดว่า

"เรารู้จักแล้ว พระพุทธศาสนา"

แต่ความจริง ถ้าไม่ได้ฟังโดยละเอียดจริงๆ ไม่มีทางที่จะเข้าใจ "แต่ละคำ"

ซึ่งเราอาจจะได้ยิน ได้ฟังบ้าง

เช่น อริยสัจจ์ ๔

เคยได้ยิน

แต่ก็ไม่รู้ว่า เมื่อไหร่? อยู่ที่ไหน?

พระธรรม เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งมาก

เริ่มตั้งแต่ทีละคำ สองคำ แต่ต้องเป็นการเข้าใจจริงๆ จึงสามารถที่จะเข้าใจยิ่งขึ้นได้

เพราะฉะนั้น ไม่มีอะไรที่จะดีกว่า สนทนากัน

ในสิ่งซึ่งเราสงสัย หรือว่า อยากจะเข้าใจมากยิ่งขึ้น ในเรื่องคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ไม่ทราบว่า มีใครคิดว่าอยากฟังเรื่องอะไร?หรือว่า อยากถามเรื่องอะไรบ้าง?

หรือ เฉยๆ ? มาก็มา เห็นก็เห็น พูดก็พูด (หัวเราะ)

นั่นจะประโยชน์น้อยมาก ค่ะ

เพราะฉะนั้น ประโยชน์จริงๆ ของการที่มีโอกาสได้พบ คือ ได้ให้สิ่งที่สำคัญที่สุด

คือ ความเป็นกัลยาณมิตร มิตรที่ดีงาม มิตรที่ให้แต่ประโยชน์

มิตร ที่จะเกื้อกูล

เพราะฉะนั้น ยากที่จะพบกัลยาณมิตร

เพราะเหตุว่า เราจะรู้ได้อย่างไร? ว่าผู้นั้น เป็นมิตรที่ดี หรือ ไม่ใช่มิตรที่ดี

มิตรที่ดี พระผู้มีพระภาคฯตรัสด้วยพระองค์เอง

พระองค์ เป็นกัลยาณมิตรของสาวก

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเป็นสาวก

ไม่มีใครจะเป็นผู้ที่หวังดี มากเท่ากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะฉะนั้น ผู้ที่หวังดี แสดงความจริงให้เราได้เข้าใจ

เราก็ควรที่จะรับรู้ความหวังดีนั้น

ว่า หวังดีอย่างไร? ต่อทุกคน

หวังดี ให้ทุกคน ได้มีความเข้าใจ

เข้าใจเฉยๆ สำคัญอย่างไร? บางคนก็บอกว่า แล้วจะเข้าใจอะไร?

แล้วจะเข้าใจไปทำไม?

แต่ละคำ เป็นสิ่งซึ่งน่าคิด น่าไตร่ตรอง

เพราะว่า พูดแล้ว ต้องเป็นจริงยิ่งขึ้น

เข้าใจอะไร?

นั่งอยู่อย่างนี้ ไม่เข้าใจเลย เห็นไหม? คำถามมาแล้ว

เหมือนกับว่า ทำไมต้องพูดคำธรรมดาๆ

ใครเข้าใจ? ใครไม่เข้าใจ?

แค่นี้ ลองคิดดู?

ภาษาไทยธรรมดาๆ

ใครไม่เข้าใจ? ไม่เข้าใจอะไร? มีใครไม่เข้าใจบ้าง?

ยังไม่รู้เลย ว่าเข้าใจอะไร?

นึกไม่ถูก ว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจอะไร?

แต่ความจริง "เข้าใจ" คำเดียวนี้ ลึกซึ้งมาก

"เข้าใจอะไร?"

เข้าใจ สิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้

แค่นี้ ก็ลึกซึ้งแล้ว

ใช่ไหม?

เข้าใจสิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้!!!

ทำไมต้องเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้?

เพราะ สิ่งที่มีในขณะนี้ เป็นสิ่งที่มีจริงๆ

อย่างอื่น จริงไหม?

เมื่อวานนี้ ไปนึกสักเท่าไหร่ หมดไปแล้ว

ไม่เหลือเลย!!

ข้างหน้าก็ไม่รู้

ใครจะจากไป ใครจะเป็น ใครจะตาย

ก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้

เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริง ขณะนี้ มีจริงแน่นอน!!!

แค่นี้ ก็เริ่มเห็น สิ่งที่ ยากที่จะคิดแล้ว

แต่ว่า ทรงแสดงไว้ โดยละเอียดจริงๆ ว่า

ขณะนี้ มีสิ่งที่มีจริงๆ

ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ก็ตอบไม่ได้อีก

หมายความว่า ตอบไม่ได้สักคำถามเดียว ซึ่งแม้ว่าจะเป็นคำถามที่ง่ายมาก

แต่ว่า ผู้ที่ได้ฟังแล้ว ก็เริ่มมีความเข้าใจขึ้น

ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริง ซึ่งทุกคนจะได้ยินคำว่า อริยสัจจธรรม

"เพียงได้ยิน" แต่ไม่รู้ว่า "สัจจะ" คือ อะไร?

"ธรรมะ" คือ อะไร?

"อริยะ" คือ อะไร?

เหมือนรู้ แต่ความจริง ไม่รู้!!!

เพราะฉะนั้น ต้องรู้ตั้งแต่ต้น ธรรมะ,สัจจะ,อริยะ

ทั้ง ๓ คำ ควรรู้ไหม?

ได้ยินมาแล้วตั้งนาน ตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ

แต่ว่า ไม่ใช่ความเข้าใจของเราเอง

ประโยชน์อะไร?

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าคำอะไร ทั้งหมด

จะรู้ได้ว่า "แค่ฟัง"

ไม่ว่าวิชาการใดๆ ทั้งสิ้น

ถ้าไม่เข้าใจ ไม่มีประโยชน์เลย

ไม่ว่าวิชาการใดๆ ทั้งสิ้น

จะไปเรียนทำกับข้าว แต่ก็ไม่เข้าใจ ก็ทำไม่เป็น

ใช่ไหม?

ทุกวิชาที่เราเรียน

"เพื่อเข้าใจ"

เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนา ถ้าไม่ศึกษา จะเข้าใจไหม?

ยากกว่าวิชาอื่นหรือเปล่า?

หรือว่า ง่ายกว่าวิชาอื่น?

นี่คือ ความไม่รู้ ตั้งแต่ต้น

ถ้า "รู้"

ไม่มีอะไร ที่จะลึกซึ้ง ละเอียด ยาก ต้องฟังบ่อยๆ

จึงจะสามารถที่จะรู้จัก พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เราเคารพ กราบไหว้

ไม่ใช่ว่า เราจะไปเคารพ กราบไหว้ ผู้ที่เราไม่รู้คุณ แต่กราบทุกวัน

แต่ว่า ท่านประเสริฐอย่างไร?

ถ้าไม่ฟังธรรมะ

ไม่มีทางที่จะรู้ได้

เพราะฉะนั้น "ธรรมะ" มีจริง

มากมาย จนไม่รู้ว่า ทำไมมากอย่างนั้น ลึกซึ้งอย่างนั้น

แต่ละคำๆ แม้แต่คำเดียว คือ คำว่า "ธรรมะ"

คือ อะไร?

แค่นี้ค่ะ

ได้ยินคำว่า "ธรรมะ" กุศลธรรม อกุศลธรรม ยุติธรรม จริยธรรม

"ธรรม" ทั้งหมดเลย

แต่ว่า คือ อะไร?

เคย "คิด" ไหม?

ถ้าไม่คิด ไม่รู้จักธรรมะ

แล้วเราก็บอกว่า เราศึกษา หรือว่า เราฟังธรรมะ

"ฟังธรรมะ" แต่ไม่รู้ว่า ธรรมะ คือ อะไร?

ก็ไม่ถูกต้อง

ใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น ถ้าใครบอกว่า จะฟังธรรมะ ก็ต้องรู้ว่า ธรรมะ คือ อะไร?

ตั้งแต่ขั้นแรก

อาจจะไม่เป็นที่สนใจก็ได้ สำหรับเรื่องนี้ เรื่องอื่นก็ได้ ถ้ามีคำถามนะคะ ขอเชิญค่ะ

"ทหาร" เป็นผู้กล้า "ทะ-หะ-ระ" แปลว่า กล้า หนุ่ม กำลัง แข็งแรง

จึงชื่อว่า "ทะ-หะ-ระ" หรือ "ทหาร"

เพราะฉะนั้น "ผู้กล้า" ต้องกล้าทุกเรื่อง

โดยเฉพาะ ที่สำคัญที่สุด "กล้า ที่จะรู้ความจริง"

กล้า ที่จะรู้ว่า ไม่รู้ หรือ รู้

ต้องเป็นคนที่ตรง

และ ความรู้ ไม่ว่าวิชาการใดๆ ก็มีประโยชน์ทั้งนั้น

แต่วิชาการที่มีประโยชน์ที่สุด ไม่มีอะไรเกินกว่า คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าใครเป็นผู้ที่ได้ยินคำนี้ แล้วก็กราบไหว้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ก็ควรที่จะได้เข้าใความจริงด้วย

ว่า คำสอนของพระองค์ เป็นสิ่งที่ควรศึกษา

และ

เป็นที่พึ่ง

เพราะ เราไม่ได้มีแต่ "พุทธัง สรณัง คัจฉามิ"

แต่มี "ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ" และ มี "สังฆัง สรณัง คัจฉามิ" ด้วย

ถ้ามีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง

เดี๋ยวนี้!!!

เป็น "ที่พึ่ง" หรือเปล่า?

"พึ่ง" ขณะไหน?

นี่ก็เป็นสิ่งที่ เป็นความเข้าใจถูก

เป็น "ปัญญา" ทั้งหมด

ถ้าจะใช้คำว่า "ปัญญา"

ปัญญา คือ ความเห็นถูก คือ ความเข้าใจถูก

(ภาพที่พักศูนย์อพยพผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงสัญชาติพม่า ราว ๗๐,๐๐๐ คน ระหว่างทาง)

เพราะฉะนั้น สนทนาธรรมดาเลยค่ะ

ชีวิตประจำวัน

ถ้าถาม นะคะ

ชีวิตประจำวัน เดี๋ยวนี้ เป็นธรรมะหรือเปล่า?

จะนำไปสู่ ความเข้าใจคำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

โดยการที่ เพียงคำถามอย่างนี้!!!

และ ถ้าเราสามารถที่จะ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

เราก็รู้ว่า

เรา "เริ่มรู้จัก" พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

โดยคำถามว่า

เดี๋ยวนี้!!! มีธรรมะหรือเปล่า?

ผู้กล้า กล้าคิด กล้าไตร่ตรอง

กล้าที่จะรู้ว่า ถูก หรือ ผิด

แค่ไหน?

อาจจะมีส่วนถูก หรือ ส่วนผิด

แต่ ผิดมาก หรือ ผิดน้อย

ถูกมาก หรือ ถูกน้อย

เพราะฉะนั้น ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ มีธรรมะ หรือเปล่า?

ได้ยินคำว่า สัจจธรรม แล้วก็ไปฟังธรรมก็หลายครั้ง

ก็จะต้องรู้จัก ว่า ธรรมะ คือ อะไร?

มิฉะนั้นแล้ว

ไปฟังอะไร?

ไม่ชื่อว่า ฟัง

และ ไม่ชื่อว่าเข้าใจ ด้วย

เพราะฉะนั้น ทุกคำ ละเอียดยิ่ง

และ มีคำตอบทั้งหมด

ลึกซึ้ง

เพราะฉะนั้น จะลึกซึ้งในคำแรก คือ เดี๋ยวนี้มีธรรมะไหม?

ไปฟังธรรมะมาแล้ว ไม่ใช่หรือคะ?

เพราะฉะนั้น

เดี๋ยวนี้!!!

มีธรรมะหรือเปล่า?

"ทะ-หะ-ระ" ค่ะ ทหาร ผู้กล้า

กล้าตั้งหลายอย่าง

กล้ารบ กล้าอะไรมากมาย

กล้าที่จะคิด ไตร่ตรอง เพื่อเป็น "ความเข้าใจ"

ซึ่งภาษาบาลี ใช้คำว่า "ปัญญา" ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก

โดยที่มีผู้ทรงแสดงความจริงทั้งหมด

ให้เข้าใจถูก

เพราะฉะนั้น แค่คำถามธรรมดา!!!

ถ้าไปข้างนอก แล้วมีคนถามเราว่า

ธรรมะ คือ อะไร?

แล้ว ตอบไหม?

จะตอบไหม? ชาวพุทธ?

ถ้าเขาถามว่า ธรรมะ คือ อะไร?

ทำไมไปถามอะไรที่มันยากมากล่ะคะ?

ถามธรรมดา ง่ายๆ อย่างนี้แหละ

ว่า ธรรมะ คือ อะไร?

ค่ะ ธรรมะ เป็นสิ่งที่เป็นจริง มีจริง ใช่ไหม?

ถ้าไม่มีจริง

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้อะไร

ต้องตรัสรู้ สิ่งที่มีจริงๆ แน่นอน

แต่แค่นั้น ไม่พอ

แค่นี้ เป็นขั้นเริ่มต้น

ว่า การที่จะรู้ ต้องรู้ สิ่งที่มีจริง

ถ้าสิ่งไหนไม่มี แลัวให้ไปทำขึ้นมารู้นี่ จริงหรือเปล่า?

ไปนั่ง มีลูกแก้วในท้อง จริงไหม?

เห็นไหม?

"ตรง" จึงจะได้สาระ

พระพุทธศาสนา ไม่ได้สอนให้เห็นผิด ให้เข้าใจผิด

แต่มีเหตุและผล

ตรงตามความเป็นจริง

เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ ใครมีลูกแก้วอยู่ในท้องบ้าง?

คะ?

ไม่มีใช่ไหม?

แล้วไปนั่งให้มีลูกแก้วอยู่ในท้องทำไม?

คะ?

มีคำตอบไหม?

ไม่มี

เพราะฉะนั้น ไม่ตรงกับธรรมะ

ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง

เดี๋ยวนี้ก็มี

ไม่พอนะคะ คิดต่อไปอีก

ธรรมะ เป็นปัญญาของผู้ที่ไตร่ตรอง

โดยการได้ยิน ได้ฟัง แล้วคิด

ถ้าสิ่งนั้นถูกต้อง ผิดไม่ได้เลย

สิ่งที่ถูก ต้องถูก

สิ่งที่จริง ต้องจริง

สิ่งที่ผิด ต้องผิด

จะเอาผิดกับถูกมารวมกัน ไม่ได้เลย

ผิด ต้องเป็น ผิด

ถูก ต้องเป็น ถูก

สุข เป็น สุข

ทุกข์ เป็น ทุกข์

เอามารวมพร้อมกันได้ไหม?

ไม่ได้

เพราะฉะนั้น ธรรมะ คือ สิ่งทีมีจริง

ถูกต้อง แต่ ไม่พอ

ต้องต่อไปอีก

แล้วอะไรมีจริง เดี๋ยวนี้?

ทั้งๆ ที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ยังไม่รู้

เห็นไหม?

แสดงให้รู้ว่า ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเลย

เราคิดเอง เราพูดเอง

อาจจะอ่านพระไตรปิฎก หรือได้ยิน ได้ฟังมา คำ สองคำ

ก็เอามาต่อ มาเติม

ด้วยความคิดของตัวเอง

แต่ไม่ใช่คำสอนของผู้ที่ทรงตรัสรู้

ซึ่งชัดเจน แจ่มแจ้ง

ละเอียด ลึกซึ้ง

ปฏิเสธไม่ได้เลย

ไม่ว่าเขาเป็นใคร จะนับถืออะไร จะเป็นอย่างไรก็ตามแต่

แต่คำที่เป็น "คำจริง"

ทุกคน ปฏิเสธไม่ได้เลย

เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ อะไรมีจริง?

ถ้าไม่รู้ ก็คือ ไม่รู้จักธรรมะ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่ถ้า "เริ่มรู้" เริ่มเห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

และ จะเห็นความห่างไกลกันมาก

ของผู้ที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับ ผู้ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

และรู้ว่า ผู้ทีควรเคารพบูชาสูงสุด บุคคลเดียว

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

จะมีความมั่นคง เลื่อมใส ในการที่จะรู้ว่า

ไม่ผิดเลย ในการที่ได้กราบไหว้บูชา ผู้ที่มีความรู้ที่ประเสริฐสุด

เพราะฉะนั้น คำถามต่อไปนะคะ

อะไรที่มีจริงคะ?

เดี๋ยวนี้!!!

ผู้ฟัง เกิด แก่ เจ็บ ตาย

ท่านอาจารย์ แล้วเดี๋ยวนี้ เกิดหรือเปล่า?

ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้

เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ มีเกิดไหม? มีแก่ไหม? มีเจ็บไหม? มีตายไหม?

เดี๋ยวนี้ เกิดแล้ว แล้วก็แก่แล้วสำหรับคนที่แก่แล้ว

และ สำหรับคนที่เจ็บ ก็เจ็บแล้ว และ สำหรับคนที่ตาย ก็ตาย หนีไม่พ้นเลย

แต่ อะไรเกิด? อะไรแก่? อะไรเจ็บ? อะไรตาย?

นี่คือคำสอนทั้งหมด

ไม่เหลือความสงสัย

ไม่เหลือ ที่จะให้ทุกคน คิดว่าไม่จริง

เพราะเมื่อได้ศึกษาจริงๆ แล้ว ละเอียดกว่านั้นมาก

เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ อะไรจริง?

ธรรมดาที่สุดเลย

ธรรมดามากๆ

ธรรมะ คือ ธรรมตา

มาจากภาษาบาลีว่า "ธรรม" กับ "ตา"

เพราะเหตุว่า ภาษาบาลี ไม่ใช้ ด เด็ก แต่ใช้ ต เต่า

เพราะฉะนั้น "ธรรมตา" คนไทยก็พูดว่า "ธรรมดา"

แต่ลืมคิด

คำนี้ ถูกที่สุด เพราะว่า ธรรมะ เป็นสิ่งที่มีจริง

ตา หรือ ดา คือ ความเป็นไปของสิ่งที่มีจริง

สิ่งที่มีจริงขณะนี้ กำลังเป็นไป เป็นธรรมดา

ทุกอย่าง เป็น ธรรมดา

เพราะว่า มีจริง แล้วก็เป็นไปตามความจริงนั้นด้วย

แต่ คิดไม่ออก คิดไม่ถึง

คิดอีกหน่อย

อะไรมีจริง?

แล้วเรารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วหรือ?

ถ้าเราไม่รู้

ห่างไกลมาก

เพราะฉะนั้น สมควรอย่างยิ่ง ที่

ก่อนจะจากโลกนี้ไป ขอให้ได้เข้าใจความจริง

ซึ่งผู้อื่นบอกไม่ได้เลย

นอกจาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่านั้น

ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป โดยไม่เข้าใจอะไรเลย

เกิดมาแล้ว ก็สุขบ้าง ทุกข์บ้าง

คิดบ้าง เรื่องนั้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง

เรื่องนั้น สำคัญเหลือเกิน

เรื่องนี้อย่างนี้

พอจากโลกนี้ไป ก็ลืมหมดเลย

ยังไม่ทันจะจากโลกนี้ไป แค่คืนนี้ หลับสนิท อะไรอยู่ที่ไหน?

ชื่อก็ไม่รู้ ชื่ออะไรก็ไม่รู้

เป็นใคร อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มีญาติสนิท พี่น้องกี่คน ก็ไม่รู้

เรื่องสำคัญในวันนั้นทั้งหมด หายไปไหน?

ไม่เหลือเลย

ถ้าไม่ตื่น ก็ไม่มีวันที่จะต่อเรื่อง

ก็จบไป

แต่ถ้ายังไม่จากโลกนี้ไป

ทั้งๆ ที่เมื่อคืนนี้ หลับสนิท หมด ไม่เหลืออะไรเลย

พอตื่น ก็ต่อแล้ว

ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงเวลาที่จากโลกนี้ไป

แล้วก็ลืมสนิท

จำไม่ได้เลย

เพราะฉะนั้น เกิดมาตลอดชีวิต สุขบ้าง ทุกข์บ้าง

เดี๋ยวได้ลาภ เดี๋ยวเสื่อมลาภ

เดี๋ยวได้ยศ เดี๋ยวเสื่อมยศ

ทุกอย่าง ก็ไม่เหลือเลย ในขณะที่หลับสนิท

ลองคิดดูว่า จากสิ่งที่ไม่มี แล้วมี แล้วก็หามีไม่

เช่น เสียง มีจริงๆ เมื่อเกิดขึ้น

ถ้าเสียงไม่เกิด จะมีเสียงไหม?

ไม่มี

แล้วเสียงที่เกิดแล้ว หายไปไหน?

เมื่อกี้นี้เอง

มี แล้วหายไป ไม่มีอีกเลย

หาอีกไม่ได้เลย

เพราะฉะนั้น จากที่ไม่เคยมี แล้วมี แล้วก็กลับไม่มี

แล้วมีประโยชน์อะไร

กับการที่มีให้ติด ให้นึกถึง ให้คิดว่า สำคัญเหลือเกิน

เดี๋ยวนี้ กำลังมีภาระไหม?

ไม่รู้ตัวเลย

ทุกขณะที่ "เห็น" เป็นภาระ

ทุกขณะที่ "ได้ยิน" ก็เป็นภาระ

ต้องทำหน้าที่เห็น เกิดขึ้น เห็น ต้องทำหน้าที่ได้ยิน เกิดขึ้น ได้ยิน

ไม่ใช่เรา นะคะ

"จิต" เกิดขึ้น ทำหน้าที่ของจิต

เพราะฉะนั้น ทรงแสดงความละเอียดว่า

แม้ว่า "จิต" จะมีมากมาย เกิดดับ นับไม่ถ้วน ลักษณะหลากหลาย

แต่ "จิต" เกิดขึ้น ต้องทำกิจ

และจิตทั้งหมด ไม่ว่ามากมายหลากหลายสักเท่าไหร่ ก็มีเพียง ๑๔ กิจ เท่านั้น

ไม่มากกว่านั้นเลย

วันนี้ มีธุระเยอะไหม?

รู้สึกมีหน้าที่มากมายหลายอย่าง

แต่กิจของธรรมะ กิจของจิต มีเพียง๑๔ กิจ

"ไม่ใช่เรา" ด้วย

เป็นธรรมะ เป็นปรมัตถธรรม เป็นอภิธรรม

กำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ หรือเปล่า?

มีจริง แล้วอยู่ที่ไหน?

สิ่งที่มีจริง อยู่ที่ไหน?

อยู่ที่ "แต่ละหนึ่ง" ซึ่งเกิดขึ้น

แล้วสมมติว่า กับใคร ก็คือตรงนั้นแหละ

"เป็นธรรมะ"

ขณะนี้ "ได้ยิน" ใช่ไหม?

ไม่ต้องว่าใคร

แต่ "ได้ยิน" นี่แหละ "เป็นธรรมะ"

เพราะฉะนั้น ธรรมะ อยู่ที่ไหน?

ก็อยู่ที่ "ได้ยิน"

อยู่ที่ "เห็น"

อยู่ที่นี่ทั้งหมด

แต่ "เพราะไม่รู้" ก็เข้าใจว่า ทั้งหมด "เป็นเรา"

ทั้งเห็น ทั้งได้ยิน ทั้งคิดนึก

แต่ทั้งหมด เป็นธรรมะแต่ละหนึ่ง เกิดเมื่อไหร่ ก็อยู่ตรงนั้นแหละ

จึงจะไม่มีเรา

เพราะว่า เป็นแต่ธรรมะ

...ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ แม่สอด...

"ทำดี และ ศึกษาพระธรรม"

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาท่านพลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร

และ คณะทหารหาญทุกท่าน ที่ให้การต้อนรับอย่างดียิ่ง

ขออนุโมทนาสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ทุกท่าน

ที่ร่วมกัน "ทำดีและศึกษาพระธรรม" ในครั้งนี้

และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Boonyavee
วันที่ 7 ธ.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ภาพถ่ายครบทุกมุมและภาพเยอะมากเลยคะ กว่าจะจัดเรียงภาพที่สวยงามทั้งหมดลงกระทู้ได้

ต้องอาศัยเวลาอย่างมาก ขอกราบอนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม

ตากล้องมือหนึ่งของมูลนิธิด้วยค่ะ

และขอกราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
pulit
วันที่ 8 ธ.ค. 2557

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะ ของคุณวันชัย ภู่งาม ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 8 ธ.ค. 2557

ธรรมไพเราะ ภาพงดงาม เก็บทุกรายละเอียด เสมือนว่าได้ไปด้วย ครับ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะ ของพี่วันชัย ภู่งาม ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
peem
วันที่ 8 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
napachant
วันที่ 8 ธ.ค. 2557

ครบถ้วนทั้งท่องธรรมและท่องเที่ยว สวยงาม น่ารัก เป็นธรรมชาติมากๆ เลยค่ะ

ขอกราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ท่ีเคารพยิ่ง

ขอขอบคุณและอนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 8 ธ.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง

และขอกราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ที่ได้ทำดี และ ศึกษาพระธรรม ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
j.jim
วันที่ 8 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
tanrat
วันที่ 9 ธ.ค. 2557

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
siraya
วันที่ 9 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
orawan.c
วันที่ 9 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ch.
วันที่ 9 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 10 ธ.ค. 2557

สาธุ อนุโมทนา และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
thilda
วันที่ 10 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
raynu.p
วันที่ 11 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
tusaneenui
วันที่ 11 ธ.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
wirat.k
วันที่ 12 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ