การดับของจิตอย่างถาวรได้อย่างไร
เรียน ท่านอาจารย์ที่เคารพทุกท่าน
ขออนุญาตเรียนถามว่า ปัจจัยที่จะทำให้จิตดับอย่างถาวรคืออะไร และจะสามารถเข้าไปถึงสภาวะนั้นได้อย่างไรคะ
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จิตเป็นสภาพธรรมที่มีจริงที่เป็นนามธรรมและเป็นสังขารธรรม คือ มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นและดับไป ซึ่งจิตเกิดขึ้นพร้อมกับเจตสิก สืบต่อกันไป เกิดขึ้นและดับไปไม่มีที่สิ้นสุดเรียกว่า สังสารวัฏฏ์ อันมีเหตุที่ทำให้เกิด คือ กิเลสที่มีอยู่ ทำให้มีการทำกรรม และทำให้มีการเกิดขึ้นของจิต เจตสิก ซึ่งหนทางที่จะทำให้ไม่มีการเกิดขึ้นของจิตก็คือ ดับเหตุที่จะทำให้เกิดจิต เจตสิก นั่นคือการดับกิเลสจนหมดสิ้น ดั่งเช่น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์สาวกทั้งหลาย ที่ดับกิเลสจนหมดสิ้น เมื่อจุติจิตเกิด ก็ปรินิพพาน ไม่มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมอะไรอีกเลย ก็ไม่มีการเกิดขึ้นของจิตถาวร เพราะ ดับเหตุ เชื้อที่จะทำให้มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมได้แล้วนั่นเอง
ซึ่งหนทางนั้นมีอยู่ นั้นคือการฟัง ศึกษาพระธรรมตามความเป็นจริง ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงอย่างยาวนาน จนปัญญาเกิดรู้ความจริงและสามารถดับกิเลสได้ในที่สุดในอนาคตข้างหน้า ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ต้องเริ่มที่ความเข้าใจถูกตั้งแต่ต้นจริงๆ ว่า จิต เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป เมื่อเป็นธรรมแล้ว ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ในสังสารวัฏฏ์อันยาวนาน แต่ละบุคคลก็เกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากความเป็นไปของสภาพธรรม คือ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และรูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อารมณ์อะไร) เพราะผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ยังมีตัณหา ยังมีอวิชชาซึ่งยังดับไม่ได้ ก็ยังต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไป ประการที่สำคัญ คือ ไม่ว่าจะเกิดเป็นใคร มีอายุยืนนานอยู่เพียงใด ก็ดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น
จิตขณะหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น จิตไม่สามารถเกิดขึ้นพร้อมกันสองดวงหรือสองขณะได้ หรือไม่ใช่ว่าจะมีจิตดวงเดียวเกิดขึ้นเป็นสิ่งยั่งยืนตลอดไป เพราะตามความเป็นจริงแล้ว มีจิตเกิดดับสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่ขาดสาย เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง เป็นวิบากบ้าง เป็นกิริยาบ้าง ตามความเป็นไปของจิต ซึ่งก็เป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ ทุกขณะของชีวิตคือการเกิดดับสืบต่อกันของจิต (รวมถึงสภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต คือ เจตสิก ด้วย) และที่สำคัญ จิต ไม่ใช่เรา เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยหลายอย่าง เช่น มีที่เกิด มีอารมณ์ มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เป็นต้น เป็นการปฏิเสธความเป็นตัวตนอย่างสิ้นเชิง
ในแต่ละชาติ จิตขณะแรกคือ ปฏิสนธิจิต ซึ่งเกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติที่แล้ว เมื่อปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นแล้วดับไป ก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อๆ ไปเกิดขึ้นเป็นไป...จนกว่าจะถึงขณะสุดท้ายของชาตินี้ คือ จุติจิต จิตแต่ละขณะย่อมเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย (ไม่ใช่เกิดขึ้นมาลอยๆ โดยไม่มีเหตุ) เมื่อเกิดแล้วก็ดับไป ไม่ยั่งยืนอย่างเช่น ปฏิสนธิจิต ซึ่งเป็นจิตขณะแรกในชาตินี้ ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ แต่เป็นผลของกุศลกรรม จึงทำให้เกิดมาเป็นมนุษย์ (ที่ไม่พิการบ้าใบ้บอดหนวก) เพราะปฏิสนธิจิตเป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรม ซึ่งไม่มีใครบังคับหรือทำให้เราเกิดได้
ประโยชน์สูงสุดของการเกิดมาเป็นมนุษย์ คือ การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม สะสมความรู้ความเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนว่าเป็นธรรม มีชีวิตอยู่เพื่ออบรมเจริญปัญญาต่อไป ขาดการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมไม่ได้เลยทีเดียว เพราะการที่จะไปถึงการที่จะไม่มีสภาพธรรมใดเกิดอีกเลยทั้งจิต เจตสิก และรูป ก็ต้องถึงความเป็นพระอรหันต์ แล้วดับขันธปรินิพพาน พระอรหันต์เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีกเลย เพราะดับเหตุที่ทำให้เกิด คือ กิเลส แล้วนั่นเอง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ต้องอบรมปัญญาจนกว่าจะถึงจุติของพระอรหันต์ ที่จิตจะไม่มีการเกิดดับอีกเลย ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง
ขั่นการฟัง ค่อยๆ เข้าใจ จนกว่าไม่ใช่เราฟัง แล้วเข้าใจ นี่แหละยากแสนยาก
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
สาธุ