พรรณนาความแห่งคาถานี้ว่า ความเป็นพหูสูต เป็นต้น [มงคลสูตร]
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑- หน้าที่ 184
ข้อความบางตอนจาก
มงคลสูตร
พรรณนาคาถาว่า พาหุสจฺจญฺจ
บัดนี้ ความเป็นพหูสูต ชื่อว่าพาหุสัจจะ ในบทนี้ว่า พาหุสจฺจยฺจ. ความฉลาดในงานฝีมือทุกอย่าง ชื่อว่า ศิลปะ. การฝึกกายวาจาจิต ชื่อว่า วินัย
บทว่า สุสิกฺขิโตแปลว่า อันเขาศึกษาด้วยดีแล้ว.
บทว่า สุภาสิตา แปลว่า อันเขากล่าวด้วยดีแล้ว. ศัพท์ว่า ยา แสดงความไม่แน่นอน. คำเปล่งทางคำพูด ชื่อว่า วาจา. คำที่เหลือ มีนัยที่กล่าวมาแล้วทั้งนั้นแล. นี้เป็นการพรรณนาบทในคาถาว่า พาหุสจฺจญฺจนี้. ส่วนการพรรณนาความ พึงทราบดังนี้. ความเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งวัตถุศาสน์ ที่ทรงพรรณนาไว้ โดยนัยเป็นต้นอย่างนี้ว่า เป็นผู้ทรงสุตตะ สั่งสมสุตตะ และว่าภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้ มีสุตตะมาก คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ เป็นต้น ชื่อว่าความเป็นพหูสูต. ความเป็นพหูสูตนั้น ตรัสว่าเป็นมงคล เพราะเป็นเหตุละอกุศลและประสบกุศล และเพราะเป็นเหตุทำให้แจ้งปรมัตถสัจจะตามลำดับ สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดังนี้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอริยสาวกผู้สดับแล้ว ย่อมละอกุศล เจริญกุศล ย่อมละสิ่งมีโทษ เจริญสิ่งที่ไม่มีโทษ บริหารตนให้บริสุทธิ์ ดังนี้
อีกพระดำรัสหนึ่งตรัสว่า
ย่อมพิจารณาความของธรรมทั้งหลายที่ทรงจำไว้ ธรรมทั้งหลายย่อมทนการเพ่งพินิจของเธอผู้พิจารณาความอยู่ เมื่อธรรมทนการเพ่งพินิจอยู่ ฉันทะย่อมเกิด เกิดฉันทะแล้ว ก็อุตสาหะ เมื่ออุตสาหะดี ใช้ดุลยพินิจ เมื่อใช้ดุลยพินิจ ก็ตั้งความเพียร เมื่อตั้งความเพียร ย่อมทำให้แจ้งปรมัตถสัจจะด้วยกาย [นามกาย] และย่อมเห็นทะลุปรุโปร่งด้วยปัญญา ดังนี้
อนึ่ง แม้พาหุสัจจะ ความเป็นพหูสูตของคฤหัสถ์อันใดไม่มีโทษ อันนั้นก็พึงทราบว่าเป็นมงคล เพราะนำมาซึ่งประโยชน์สุขในโลกทั้งสอง. ศิลปะของคฤหัสถ์และศิลปะของบรรพ ชิต ชื่อว่า ศิลปะ. บรรดาศิลปะทั้งสองนั้น กิจกรรมมีงานของช่างมณี ช่างทองเป็นต้น ที่เว้นจากการทำร้ายชีวิตสัตว์อื่น เว้นจากอกุศล ชื่อว่า อคาริกสิปปะศิลปะของคฤหัสถ์. อคาริกสิปปะนั้น ชื่อว่า เป็นมงคล เพราะนำมาซึ่งประโยชน์ในโลกนี้
การจัดทำสมณบริขาร มีการแก้และเย็บจีวร เป็นต้น ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสรรเสริญไว้ในที่นั้นๆ โดยนัยเป็นต้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กิจที่ควรทำไรๆ ของสพรหมจารี ไม่ว่าสูงต่ำเหล่านั้นใด ภิกษุเป็นผู้ขยันในกิจที่ควรทำไรๆ นั้น และที่ตรัสว่า เป็นนาถกรณธรรม ธรรมทำที่พึ่ง ชื่อว่า อนาคาริกสิปปะ ศิลปะของบรรพชิต. ศิลปะของบรรพชิตนั้น พึงทราบว่าเป็นมงคล เพราะนำมาซึ่งประโยชน์สุขในโลกทั้งสองแก่ตนเองและแก่คนอื่นๆ
วินัยของคฤหัสถ์และวินัยของบรรพชิต ชื่อว่า วินัย. บรรดาวินัยทั้งสองนั้น การงดเว้นอกุ ศลกรรมบถ ๑๐ ชื่อว่าวินัยของคฤหัสถ์. วินัยของคฤหัสถ์นั้น คฤหัสถ์ศึกษาดีแล้วในวินัยนั้น ชื่อว่าเป็นมงคล เพราะนำมาซึ่งประโยชน์สุขในโลกทั้งสอง ด้วยการไม่ต้องสังกิเลสความเศร้าหมอง และด้วยการกำหนดคุณ คืออาจาระ
การไม่ต้องอาบัติ ๗ กอง ชื่อว่า วินัยของบรรพชิต. แม้วินัยของบรรพชิตนั้น อันบรรพ ชิตศึกษาดีแล้ว โดยนัยที่กล่าวมาแล้ว. หรือปาริสุทธิศีล ๔ ชื่อว่าวินัยของบรรพชิต. วินัยของบรรพชิตนั้น อันบรรพชิตศึกษาดีแล้ว ด้วยการศึกษาโดยประการที่ตั้งอยู่ในปาริสุทธิศีล ๔ นั้น แล้วจะบรรลุพระอรหัตได้ พึงทราบว่าเป็นมงคลเพราะเป็นเหตุประสบสุขทั้งโลกิยะทั้งโลกุตระ.
วาจาที่เว้นจากโทษ มีมุสาวาทเป็นต้น ชื่อว่า วาจาสุภาษิตเหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วาจาประกอบด้วยองค์ ๔ เป็นวาจาสุภาษิต. หรือว่าวาจาที่เจรจาไม่เพ้อเจ้อ ก็ชื่อว่าวาจาสุภาษิต. เหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ๑
สุภาสิตํอุตฺตมมาหุสนฺโต ธมฺมํภเณนาธมฺมํตํทุติยํ ปิยํภเณนาปฺปิยํลํตติยํ สจฺจํภเณนาลิกํจตุตถํ.
สัตบุรุษทั้งหลายกล่าวว่าวาจาสุภาษิตเป็นวาจาสูงสุดเป็นข้อที่ ๑. บุคคลพึงกล่าวแต่ธรรม ไม่กล่าวไม่เป็นธรรมเป็นข้อที่ ๒. พึงกล่าวแต่คำนี้น่ารักไม่กล่าวคำไม่น่ารักเป็นข้อที่ ๓. กล่าวแต่คำสัตย์ไม่กล่าวคำเหลาะแหละเป็น ข้อที่ ๔.
๑. ขุ.สุ. ๒๕/ข้อ ๓๕๖
แม้วาจาสุภาษิตนี้ ก็พึงทราบว่าเป็นมงคล เพราะนำมาซึ่งประโยชน์สุขในโลกทั้งสอง แต่เพราะเหตุที่วาจาสุภาษิตนี้ นับเนื่องในวินัยฉะนั้น. ถึงไม่สงเคราะห์วาจาสุภาษิตนี้ไว้ด้วยวินัยศัพท์ ก็พึงทราบว่าเป็นวินัย. เมื่อเป็นเช่นนั้น วาจามีการแสดงธรรมแก่คนเหล่าอื่น เป็น ต้น พึงทราบว่าเป็นวาจาสุภาษิต ในที่นี้ ด้วยความกระอักกระอ่วนนี้หรือความจริงวาจาสุภา ษิตตรัสว่าเป็นมงคล ก็เพราะเป็นเหตุประสบสุขในโลกทั้งสองและพระนิพพานของสัตว์ทั้งหลาย ก็เหมือนการอยู่ในปฏิรูปเทศ. พระวังคีสเถระกล่าวไว้ว่า ๑
ยํพทฺโธภาสตีวาจํเขมํนิพฺพานปตฺติยา ทุกฺขสฺสนฺตกิริยายสาเววาจานมุตฺตมา. พระพุทธเจ้าตรัสพระวาจาใดอันเกษม เพื่อบรรลุพระนิพพาน เพื่อทำที่สุดทุกข์ พระวาจานั้นแลเป็นยอดของวาจาทั้งหลาย
พระพุทธเจ้าตรัสมงคลแห่งคาถามไว้ ๔ มงคล คือ พาหุสัจจะ ๑ สิปปะ ๑ วินัยที่ศึกษาดี แล้ว ๑ และ วาจาสุภาษิต ๑ ด้วยประการฉะนี้. ก็ความที่มงคลนั้นเป็นมงคล ก็ได้ชี้แจงไว้ในมงคลนั้นๆ แล้วทั้งนั้นแล.
จบพรรณนาความแห่งคาถานี้ว่า พาหุสฺจญฺจ เป็นต้น