แนวปฏิบัติเกี่ยวกับ อังคาร จากการฌาปนกิจ
ใคร่ขอทราบแนวปฏิบัติเกี่ยวกับ อังคาร (ขี้เถ้า) จากการฌาปนกิจ ว่าพุทธศาสนิกชนควรปฏิบัติอย่างไร เช่น เก็บทั้งหมดไว้บูชาที่บ้าน เก็บทั้งหมดไว้ที่สถูป/เจดีย์ของครอบครัว (ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่มี) หรือฝากไว้ที่วัดแล้วแต่ทางวัดจะจัดการ (จากกระทู้ อยากทราบคำว่า ลอยอังคาร ทราบว่าการลอยอังคารไม่มีปรากฏในพระไตรปิฎกและพระอริยะทั้งหลายท่านไม่ได้ทำการลอยอังคาร)
ขอบพระคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การลอยอังคาร ไม่มีในพระไตรปิฎก และเป็นธรรมเนียมรุ่นหลัง ซึ่งคำว่า อังคาร หมายถึง ขี้เถ้า ในสมัยพุทธกาล จะนำอัฏฐิ หรือกระดูกมาบูชาเก็บไว้ในสถูป เพื่อมาบูชาสำหรับบุคคลที่ควรบูชา เช่น พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระสาวก เป็นต้น ให้เป็นเครื่องระลึกถึงคุณความดีของท่าน เพื่อเกิดกุศลจิตกับผู้กราบไหว้และได้พบเห็น เป็นเจดีย์ คือ เครื่องระลึกใ้ห้เกิดกุศลได้นั่นเองครับ
กระดูก ขี้เถ้า ก็แล้วแต่จุดประสงค์ ซึ่งไม่ต้องเก็บมาไว้ที่บ้าน หรือ ลอยอังคารก็ได้ เพราะก็เป็นเพียงรูปธรรม ที่ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น ครับ
ดังนั้น การลอยอังคาร จึงประเพณีนิยมที่ทำกัน ที่เข้าใจว่าให้วิญญาณของผู้นั้นสงบสุข แต่ความเป็นจริง เมื่อบุคคลตายไป ก็ไปเกิดทันที สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลส ไม่มีวิญญาณล่องลอย ดังนั้น วิญญาณ จึงไม่ได้อยู่ที่ขี้เถ้า หรือ กระดูก เพราะวิญญาณ คือ จิตที่เกิดขึ้นและดับไป เมื่อตายไปก็เกิดขึ้นทันที โดยมีที่เกิดของจิต หริอ วิญญาณ ที่หทยรูป จักขุปสาทรูป เป็นต้น ที่เป็นวัตถุ 6 จึงไม่มีวิญญาณอยู่ที่กระดูก ขี้เถ้าเลย ดังนั้น สัตว์จะสงบสุขได้ ไม่ใช่อยู่ที่การลอยอังคาร ลอยขี้เถ้ากระดูกของผู้ตาย เพราะสัตว์นั้นเกิดแล้วทันทีที่ตาย แต่ความสงบสุขอยู่ที่กุศลธรรมของผู้นั้น ที่นำเกิดในสุคติภูมิในที่ดีๆ ครับ
ดังนั้น สิ่งที่เป็นประโยชน์กับผู้ตาย คือ ไม่ใช่การเศร้าโศก หรือลอยอังคาร แต่อยู่ที่ญาติทั้งหลาย ทำบุญและอุทิศส่วนกุศลไไปให้ หากผู้ที่ตายไปเกิดในภพภูมิทีล่วงรู้และอนุโมทนาได้ ก็ได้รับประโยชน์ครับ ดังนั้น การลอยอังคารจึงไม่จำเป็น และไม่มีผลให้วิญญาณจะสงบสุข หรือ เศร้าโศก เพราะ วิญญาณคือจิต ไม่ได้อยู่ที่กระดูกและขี้เถ้า และสัตว์นั้นก็เกิดแล้วทันทีครับ
ขออนุโมทนา
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ...
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ -หน้า๓๘๘
"ไม่นานหนอ กายนี้จักนอนทับแผ่นดิน กายนี้มีวิญญาณไปปราศ อันบุคคลทิ้งแล้ว ราวกับท่อนไม้ ไม่มีประโยชน์ฉะนั้น"
ชีวิตของบุคคลผู้ที่มาในโลกนี้ ล้วนมีความตายเป็นที่สุดด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เมื่อจุติจิตเกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ในภพนี้ เกิดเป็นบุคคลในภพใหม่ชาติใหม่ต่อไป (ตราบใดที่ยังมีกิเลส) ไม่สามารถกลับมาเป็นบุคคลนี้ได้อีก ผู้ที่เป็นญาติหรือบุคคลรอบข้างก็นำศพอันปราศจากจิต ไปเผาหรือทำฌาปนกิจ (ทำกิจคือการเผา) ซึ่งไม่มีผลต่อการเกิดในภพใหม่ของผู้นั้น บางท่านก็นำอังคาร คือ เถ้าที่เกิดจากการเผาศพ ไปลอยที่แม่น้ำ ก็ไม่มีผลต่อการเกิดในภพใหม่ของผู้นั้นเลย เพราะตายแล้วเกิดทันที และไปตามกรรมของตนเอง ถ้ากรรมดีให้ผลก็ทำให้เกิดในสุคติภูมิ แต่ถ้ากรรมชั่วให้ผลก็ทำให้เกิดในอบายภูมิ ถ้ามีความมั่นคงในความจริงนี้ ก็เบาสบายด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง
ที่น่าพิจารณาคือ ตามความเป็นจริงแล้ว แต่ละคนล้วนมีความตายเป็นที่สุดด้วยกันทั้งนั้น แทนที่จะไปคิดเรื่องอื่น ก็ควรที่จะได้พิจารณาว่าก่อนที่วันสุดท้ายของภพนี้ชาตินี้จะมาถึง ควรจะทำอย่างไร จึงจะถูกต้องดีงามเป็นประโยชน์ให้สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ให้มากที่สุด นั่นก็คือ ทำความดี และ ฟังพระธรรมให้เข้าใจ สะสมเป็นอุปนิสัยที่ดี ซึ่งจะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงสำหรับชีวิต เพราะอกุศลธรรม พึ่งไม่ได้เลย สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งได้นั้น ต้องเป็นธรรมฝ่ายดีเท่านั้นจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก [ปัญญา] ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
สิ่งที่ดีคือการทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลให้ผู้มีพระคุณ ฯลฯ ค่ะ
เรียนถามเพิ่มเติม เพื่อประโยชน์ในทางปฏิบัติและเผยแพร่ความเห็นถูกต่อไปครับว่า บุตรหรือศิษย์ควรเก็บเถ้า หรืออัฐิ (กระดูก) ของบิดามารดาหรือครูอาจารย์ที่ตนเคารพไว้เพื่อระลึกถึงคุณความดีของท่านเหล่านั้นหรือไม่ครับ ปัจจุบันครอบครัวต่างๆ ก็จะมีการเก็บอัฐิและหรืออังคารไว้ที่บ้านส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็นำไปลอยอังคาร ในโรงเรียนแพทย์ เมื่อนักศึกษาเรียนจบแล้ว ก็มีการฌาปนกิจร่างอาจารย์ใหญ่ แล้วก็นำเถ้าไปกระทำที่เรียกว่าลอยอังคารต่อ
ขอบพระคุณครับ
เรียนความเห็นที่ 4 ครับ
โดยความเห็นส่วนตัว ในสมัยปัจจุบัน เพียงภาพ ก็เพียงพอที่จะทำให้ระลึกถึง ครับ
การระลึกถึงผู้มีพระคุณที่จากไป ก็คือทำความดีแล้วอุทิศกุศลให้ผู้ล่วงลับไปแล้วค่ะ
ความเห็นส่วนตัว คนเราประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ เมื่อร่างกายแตกดับ ก็ต้องคืนสู่ธรรมชาติทั้งหมด ขอเพียงให้ระลึกถึงคุณงามความดีของท่าน แล้วดำเนินรอยตามความดีที่ท่านได้เคยกระทำไว้ เก็บเพียงรูปไว้ก็น่าจะเพียงพอครับ
ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อดิฉันมากมาย..เพราะตอนที่พ่อจากไป คุณย่าไม่ให้เก็บอัฐิให้เก็บเฉพาะรูปภาพ ระลึกถึงแต่คุณงามความดีที่พ่อได้ทำไว้ และหมั่นทำบุญอุทิศถึงท่านจะดีที่สุด ดิฉันก็ได้แต่เก็บข้อสงสัยไว้เพราะเห็นคนอื่นเขาเก็บกัน แต่พอได้มาอ่านแนวคิดจากทุกๆ ท่านดิฉันก็สบายใจสุดๆ เลยค่ะ
ผมยังเห็นว่า การลอยอังคาร ที่คนนิยมนั้น เป็นแค่อุบาย ที่คนเป็น ทำให้คนตาย ที่ถูกควรจะเป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศล ให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ถึงจะถูกต้อง เพราะเมื่อตายแล้ว จิต จะไปเกิดใหม่ทันที ร่างกายก็เป็นแค่สังขาร เท่านั้น อย่าไปเสียเงินสูญเปล่า เพราะความนิยม เชื่อแบบผิดๆ อวดร่ำอวดรวยกัน
อยากทราบว่าถ้าเราเอากระดูกของคนที่เสียชีวิต ไว้ในเจดีย์ตั้งไว้ที่วัด เพื่อไว้ให้ลูกหลานไปกราบไหว้จะผิดอะไรมั้ยคะ บางคนให้ความรู้ว่าเป็นการกักขังเค้า เหมือนเป็นบ้านหลังที่ 2 ของผู้เสียชีวิต เลยงงๆ กับข้อมูลนี้ อยากขอความเห็นหรือข้อมูลที่ถูกต้องด้วยค่ะ