ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ตลาดบางหลวง ร.ศ. ๑๒๒ วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๘
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันศุกร์ ที่ ๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และคณะวิทยากร ได้รับเชิญจาก คุณเบญจวรรณ รัศมีสุวรรณกุล เพื่อไปสนทนาธรรม ที่ ตลาดบางหลวง ร.ศ. ๑๒๒ ตำบลบางหลวง อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ - ๑๕.๓๐ น.
ตลาดบางหลวงแห่งนี้ สร้างขึ้นในราวปีพุทธศักราช ๒๔๔๖ หรือ ราวหนึ่งร้อยปีเศษมาแล้ว เป็นตลาดที่มีห้องแถวไม้สองชั้นสมัยเก่า ที่ยังคงมีสภาพเดิมๆ ที่หาดูได้ยากในปัจจุบัน การได้เดินทางมาสนทนาธรรมที่ตลาดบางหลวงในครั้งนี้ เมื่อได้เห็นห้องแถวไม้เก่าแก่ ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงชีวิตในวัยเด็กที่ได้มีชีวิตช่วงหนึ่งอยู่ที่ อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท มีตลาดเก่าแก่ ซึ่งมีห้องแถวไม้ในลักษณะนี้ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน ทางฝั่งตะวันตกเช่นกัน และ มีลักษณะที่ทอดยาวไปทั้งสองฝั่งถนน ที่วิ่งตรงไปสู่แม่น้ำท่าจีนเหมือนกันด้วย คิดถึงความรุ่งเรืองของการค้าขาย และการจราจรทางน้ำ ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญในอดีต ซึ่งต่อมาได้หมดความสำคัญไป เมื่อมีถนนและรถยนต์มาแทนที่ ซึ่งก็เป็นเช่นนี้ในทุกๆ ที่ ตลาดวัดสิงห์ในปัจจุบันก็มีสภาพที่เงียบเหงาซบเซาลง ไม่ต่างจากที่ตลาดบางหลวงนี้ แต่ที่ต่างกันคือ ตลาดวัดสิงห์ มีห้องแถวไม้หลงเหลืออยู่ไม่สมบูรณ์เท่าที่ตลาดบางหลวง เนื่องจากถูกเพลิงไหม้ไปหลายครั้ง จึงมีการสร้างห้องแถวปูนขึ้นมาแทรกเป็นบางช่วง
เมื่อได้มาเห็นห้องแถวไม้บางห้อง ที่มีลักษณะเหมือนกับห้องแถวที่เคยทรงจำ ด้วยความประทับใจในอดีต เช่น ห้องแถวไม้หัวมุมถนนริมน้ำ ที่ยังคงสภาพเดิมห้องนี้ ทำให้คิดถึงร้านกาแฟหัวมุมถนนริมแม่น้ำท่าจีน ที่ตลาดวัดสิงห์ บ้านเดิมที่เคยอยู่ สมัยตอนเป็นเด็ก ซึ่งทุกๆ เช้า ได้เดินผ่านไปตลาดเช้า และ ไปโรงเรียน จะเห็นสมาคมวิพากษ์การเมืองนั่งจิบกาแฟ อ่านหนังสือพิมพ์ บนโต๊ะกาแฟแบบกลมๆ ที่พื้นโต๊ะเป็นหินอ่อนสีขาวหรือลายเทา และมีเก้าอี้แบบที่เรียกกันว่า เก้าอี้แบบเชคโก ซึ่งสมัยนี้ก็นิยมนำมาแต่งบ้าน และร้านกาแฟกันด้วย บนโต๊ะกลม มีกาน้ำเคลือบสีครีม ใส่น้ำชาร้อนไว้ให้ดื่ม มีปาท่องโก๋ใส่จานสังกะสีเคลือบวางไว้บริการ เรื่องปาท่องโก๋นี้ก็มีเรื่องเล่าให้ฟัง กล่าวคือป้าๆ ของข้าพเจ้าเวลาจะใช้ให้ไปซื้อปาท่องโก๋ที่ตลาดก็มักจะบอกว่าให้ไปซื้อเฉาก๊วย ข้าพเจ้าก็จำมาจนเดี๋ยวนี้ พอมาเรียกปาท่องโก๋ว่าเฉาก๊วยที่กรุงเทพฯ คุณภรรยาซึ่งเป็นลูกจีนก็ออกอาการงงว่า ทำไมเรียกปาท่องโก๋ว่าเฉาก๊วย เมื่อเธอไปเล่าให้คุณแม่ของเธอฟัง ก็ถึงบางอ้อว่า น่าจะเป็นการฟังผิดเพี้ยนมาจากภาษาจีนว่า "อิ่วจาก้วย" ซึ่งก็คือ ปาท่องโก๋นั่นเอง ก็เป็นเรื่องของภาษา ซึ่งอาจมีผิดเพี้ยนได้ตามความคิดนึกเอาเองของตน แต่เรื่องของความเข้าใจธรรมะ ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง หากเข้าใจผิด เห็นผิด แม้เพียงเล็กน้อย ย่อมทำให้บุคคล หลงออกไปจากหนทางได้ ทั้งยังผลให้เป็นผู้ที่หันหลังให้พระสัทธรรม ไม่สามารถที่จะพบเจอหนทางที่ถูกต้องได้เลย จึงควรเป็นผู้ที่อ่อนน้อม ฟังและพิจารณาพระธรรม เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องจริงๆ ตรงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ไม่เป็นผู้ที่คิดธรรมเอาเอง
ภาพคุณยุวดีและสามี ชาวบางหลวงท่านหนึ่งในหลายๆ ท่าน ที่ติดตามฟังท่านอาจารย์มานาน พบท่านอาจารย์ที่ตลาด เธอตื่นเต้นดีใจมากและได้กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์ไปเยี่ยมบ้าน
การได้มาสนทนาธรรมที่นี่ ทำให้ได้เห็นภาพท่านอาจารย์เดินอยู่กลางชุมชนตลาดบางหลวง เป็นภาพที่ไม่อาจมีใครพบเห็นได้บ่อยนัก เพราะเวลาของท่านส่วนใหญ่อยู่แต่ที่สนทนาธรรม ตลาดบางหลวง ที่ยังคงสภาพเดิมๆ ให้เห็นถึงร่องรอยของความเจริญรุ่งเรืองในอดีต ซึ่งตลาดบางหลวงในวันนี้ ยังคงมีพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของและอาหารการกินหลายอย่าง ที่เป็นของแท้ดั้งเดิมของที่นี่ และยังคงเหลืออยู่ให้ทุกท่านที่มาท่องเที่ยว ได้ชมและได้ชิม ห้องแถวไม้ดั้งเดิม และความเป็นชุมชนเก่าแก่ เป็นหลักฐานที่แสดงถึง ความเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าจะเข้าใจได้ง่ายๆ ธรรมดาๆ แต่หากได้ฟังความจริง ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ย่อมทราบว่า แม้เพียงแต่ละขณะที่ผ่านไปในวันนั้น เช่น ในขณะที่ "เห็น" "เห็น" ขณะนั้น ก็เกิดและดับไปอย่างรวดเร็ว ไม่เที่ยง ไม่คงที่ ไม่ยั่งยืนคงอยู่นาน อย่างที่ทุกคนเคยคิดเลย ทุกขณะในวันนั้น อยู่ที่ไหนในวันนี้ ก็ไม่มีเลย ไม่เหลือเลย ขณะนี้ เป็นแต่เพียง "คิด" ถึงสิ่งที่เคยทรงจำไว้ เท่านั้นเอง
แม้การไปอยู่ท่ามกลางสถานที่ ที่เคยมีความเจริญรุ่งเรืองในอดีตของท่านอาจารย์ในวันนั้น ก็กลายเป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ไปแล้ว ในวันนี้ เป็นสิ่งที่เหลือแต่เพียงความทรงจำ ขณะนี้ กำลัง "คิด" ถึงเรื่องราวในวันนั้น สิ่งที่คิด ไม่มีอยู่จริง แต่สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ คือ "จิต" ที่คิด ถึงเรื่องราวในวันนั้น และที่สำคัญ "จิต" ที่กำลังคิด ก็ "ไม่ใช่เรา" แต่ "เป็นธรรมะ" ที่กำลังเกิดขึ้น "คิด" ในขณะนี้เอง!!! ตามเหตุ ตามปัจจัย นี่คือความเข้าใจจากการได้ยินได้ฟังความจริง ที่ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ เมื่อถึงคราวที่จะรู้ความจริง จริงๆ ก็ต้องรู้อย่างที่ทรงแสดงไว้อย่างนี้ ไม่ใช่ไปรู้อื่นเลย
คุณเบญจวรรณ ได้จัดให้มีการสนทนาธรรมบนแพริมแม่น้ำท่าจีน ที่มีบรรยากาศดีมาก อากาศปลอดโปร่ง โล่งสบาย มีลมเย็นๆ พัดผ่านตลอดวัน ไม่ร้อนเลย มองเห็นแม่น้ำท่าจีนไกลสุดสายตา เห็นวิถีชาวบ้านที่ลอยเรือเก็บผักบุ้งที่ผูกแพเลี้ยงไว้ไปขาย เห็นบ้านไม้แสนสวยปลูกใหม่ริมน้ำฝั่งตรงข้าม มองดูเด่นเป็นสง่า เข้ากับบรรยากาศริมน้ำ เห็นเรือนไทยสมัยก่อน ที่ต่อเติมหลังคาขยายบานออกไปรอบด้าน ให้บรรยากาศแบบไทยแท้ เป็นความสงบรื่นรมย์ ที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง เหมาะแก่การมาท่องเที่ยวพักผ่อนในวันหยุด เพียงขับรถชั่วโมงกว่าๆ ก็สามารถพบกับบรรยากาศและอาหารอร่อยๆ ผู้คนน่ารักและเป็นมิตร ประการสำคัญคือ นอกจากจะอยู่ไม่ไกลแล้ว ยังเป็นสถานที่ที่ไม่แออัดไปด้วยผู้คนเหมือนที่อื่นๆ
วันนี้ นอกจากคุณเบญจวรรณจะเตรียมอาหารเช้า เป็นข้าวต้มหมูเห็ดหอมหม้อใหญ่ ไว้ให้ทุกท่านได้รับประทานแล้ว ในแพยังมีก๋วยเตี๋ยวหมู ที่มีแม่ค้าเจ้าประจำมาให้บริการด้วย ซึ่งก็มีผู้อุดหนุนทั้งตอนเช้าและตอนกลางวัน โดยมีคุณบุษกร พี่แดงและท่านอื่นๆ ร่วมสมทบทุน เหมาร้านก๋วยเตี๋ยวทั้งร้าน เพื่อเลี้ยงทุกท่านที่มาร่วมสนทนาธรรม นอกจากนั้น ในมื้อกลางวัน ทุกท่านก็สามารถเดินไปหารับประทานอาหารกันเองในตลาด ซึ่งคุณเบญฯกล่าวว่า เพื่อเป็นการกระจายรายได้ไปสู่ชุมชน ขออนุโมทนากุศลเจตนาครับ
การไปสนทนาธรรมของท่านอาจารย์และคณะวิทยากร ที่ตลาดบางหลวงในครั้งนี้ คุณเบญจวรรณ ได้กล่าวว่า นอกจากจะเป็นการเกื้อกูลแก่สหายธรรมให้ได้มาท่องเที่ยว ชมบรรยากาศตลาดเก่าแก่ริมแม่น้ำท่าจีนแห่งนี้แล้ว ยังจะเป็นการเกื้อกูลสหายธรรมที่นี่ ซึ่งทราบในภายหลังว่ามีหลายท่าน และ เป็นการเผยแพร่พระธรรมให้คนในชุมชนได้ยิน และได้ฟังด้วย ขออนุโมทนาในกุศลเจตนาของคุณเบญจวรรณ รัศมีสุวรรณกุล ด้วยครับ
อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาธรรมบางตอน มาฝากให้ทุกท่านพิจารณา ซึ่งก็เป็นเรื่องเดิมๆ ที่ไม่พ้นไปจากคำว่า ธรรมะ และ สิ่งที่มีจริงๆ ทั้ง ๖ ทวาร ที่ควรฟังและพิจารณาบ่อยๆ เนืองๆ เพื่อความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์ กล่าวปรารภในตอนแรกของการสนทนาว่า ... " ... หวังว่าจะได้ฟังอะไรพิเศษหรือเปล่าคะ? วันนี้ หรือว่า มาตามปรกติ แล้วก็สนทนากัน ตามปรกติค่ะ ... "
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ครับ ทุกอย่าง เป็นอนัตตาครับ
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง แปลว่า ไม่ใช่เรา "เห็น" เกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไป "ได้ยิน" เกิดขึ้นได้ยิน แล้วก็ดับไป พูดเหมือนธรรมดามาก และ ธรรมดา ก็คือ เป็นธรรมะ คือ ธรรมะ ต้องเป็นธรรมดาอย่างนี้ คือ เกิดขึ้น แล้วก็เป็นไป เกิดขึ้น เป็นอะไรก็ตามแต่ "ชั่วคราว" แล้วก็ไป คือ เกิดขึ้น แล้วก็ ดับไป ต้องฟัง จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจอย่างมั่นคงขึ้น โดยที่ไม่หวังว่า เราสามารถที่จะเข้าใจได้เร็วแค่ไหน มากแค่ไหน แต่ ค่อยๆ จำ ค่อยๆ สะสม ทุกอย่าง เป็นความจริง ซึ่ง กว่าจะถึงวันนั้น ก็เพราะเหตุว่า มีการได้ฟังมาแล้ว มาก แต่ละชาติๆ ก็เป็นปรกติ แล้วก็ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
ผู้ฟัง อาจารย์ครับ ด้วยเหตุปัจจัย อาจารย์ช่วยอธิบายครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ถ้าไม่มีตา เห็นไหม? ถ้าไม่มีหู ได้ยินไหม ธรรมดาๆ เหมือนเดิม ฟังอย่างไร ก็ข้อความเดิม ใน ๔๕ พรรษา ที่ทรงแสดงไว้ หวังว่าจะได้ฟังอะไรพิเศษหรือเปล่าคะ? วันนี้ หรือว่า มาตามปรกติ แล้วก็สนทนากัน ตามปรกติ มีอะไรที่ไม่เข้าใจ ก็สนทนาเรื่องนั้นให้เข้าใจขึ้น ก็เป็นโอกาสที่จะได้พบกันแบบนี้ ไม่อย่างนั้นก็พบกันน้อยมากที่มูลนิธิฯ แค่เห็นแล้วก็ไม่ได้สนทนาเลย ได้แต่ฟังแล้วก็ต่างคนต่างกลับ
ผู้ฟัง อาจารย์ครับ ผมไม่เคยนึกฝัน ว่าจะมีโอกาสมาอยู่ตรงนี้ แต่เพราะมีเหตุปัจจัย ทำให้ผมต้องมาอยู่ตรงนี้ และผมก็เข้าใจทุกอย่างครับ เข้าใจว่าทุกอย่าง ถ้าไม่มีเหตุ และเหตุทุกอย่างจะเกิด แล้วเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นไม่ได้ วันนี้ ยังไงก็ต้องมาทางนี้ และ ได้สนทนากับอาจารย์ ขอบคุณมากครับอาจารย์
ท่านอาจารย์ เมื่อวานนี้ ไม่มีใครรู้ว่า ตรงนี้ จะเป็นอย่างนี้ ได้แต่ "คิด" ว่า "เราจะมาที่นี่" ใช่ไหม? แต่ใครจะรู้ล่วงหน้า ว่าเมื่อวานนี้ เรากำลังคิดถึงที่นี่ แต่เราไม่รู้ว่า ที่นี่ คือ ตรงนี้ เดี๋ยวนี้ แล้วพรุ่งนี้ ก็เหมือนอย่างนี้ ไม่ว่าเราคิดว่าเราจะทำอะไรพรุ่งนี้ แต่ก็ไม่รู้จริงๆ ว่า พรุ่งนี้ จะเป็นอย่างที่เราคิดหรือเปล่า? ทุกคน คิดถึงพรุ่งนี้ได้ใช่ไหม? แต่ว่า ยังไม่ถึงพรุ่งนี้จริงๆ เมื่อถึงพรุ่งนี้แล้วจะรู้ ว่าเป็นอย่างที่คิดหรือเปล่า? นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ทำให้สามารถเข้าใจได้ ว่าจริงๆ แล้ว คิดได้จริง ทุกคน "คิด" แต่จะเป็นอย่างที่คิดหรือเปล่า? ก็ต้องแล้วแต่เหตุปัจจัย นี่คือ ความหมายของคำว่า "อนัตตา" ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย พรุ่งนี้จะอยู่ที่ไหนคะ? บางคน อาจจะบอกว่า ที่มูลนิธิฯ แต่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรที่มูลนิธิฯ ใช่ไหม? จะได้ยินคำอะไรก็ไม่รู้ แล้วพรุ่งนี้ก็รู้ แต่ว่า ตอนนี้ไม่รู้แน่ เพราะว่ายังไม่ถึงพรุ่งนี้ ธรรมดาๆ นี่คือ ธรรมะ เป็นธรรมดา
ผู้ฟัง อาจารย์คะ ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นดับไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีอะไรตั้งอยู่ ไม่มีอะไรดับไป เหมือนกับทุกข์ ขอได้อธิบายด้วยค่ะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ คำนี้เป็นคำจริงนะคะ แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง เพราะฟังดู ก็แล้วแต่ว่า บางคนก็คิดว่า ใช่เลยแน่ๆ ชีวิตเป็นทุกข์ แต่บางคนก็ยังสงสัย แล้ว "สุข" ไม่มีหรือ? เกิดมาไม่ได้มีแต่ทุกข์อย่างเดียว ใช่ไหม?
ความสุขก็มี อาหารอร่อย ไปเที่ยวไหนก็สนุก แล้ว จะเป็นทุกข์หรือ? แต่ คำใดก็ตาม ที่เป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส คำนั้น เป็นวาจาสัจจะ ไม่เปลี่ยน เปลี่ยนไม่ได้ เพราะเหตุว่า มาจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง เพราะฉะนั้น "ทุกข์" ที่นี่ หมายความถึง "ทุกอย่าง" ไม่เว้น ที่มีการเกิดขึ้นแล้ว ต้องดับไป ไม่เหลือเลย
จำชาติก่อนได้ไหม? มีชาติก่อนหรือเปล่า? แต่ชาติก่อน ไม่ใช่ "คนนี้" แน่!!! เป็นใครก็ไม่รู้!!! ชาตินี้ ก็มีหลายท่านที่กำลังคิดถึงมารดาที่จากไปตั้งหลายปี ก็ยัง "คิดถึง" ด้วยความเป็นมารดา แต่ว่าบุคคลนั้น จะอยู่ที่ไหน? ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ ถ้าคิดถึงมารดาชาตินี้ แล้วมารดาชาติก่อนมีไหม? ก็ลืมแล้ว!!! เพราะฉะนั้น จะเป็นมารดา ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่ ในชาตินี้ ยังจำได้ แต่พอจากโลกนี้ไป เปลี่ยนแล้ว ก็จำไม่ได้เลย ว่าใครเคยเป็นมารดา คนที่เป็นมารดา อาจจะอยู่แถวนี้ก็ได้ แต่ไม่มีใครรู้!!!
เพราะฉะนั้น "ชีวิต" ก็คือว่า มีปัจจัย ที่จะทำให้เกิดขึ้น เป็นไป นี่แน่นอน ไม่ใช่ผู้ที่ดับกิเลสแล้ว ยังมีปัจจัย คือ กิเลส ความไม่รู้ ทำให้มีสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ในขณะนี้ "ได้ยินเสียง" บังคับให้ ไม่ได้ยิน ไม่ได้เลย "คิด" บังคับ ไม่ให้คิด ก็ไม่ได้ "เกิดแล้ว" ทั้งนั้น ตามเหตุ ตามปัจจัย ส่วนที่ยังไม่เกิด ก็ยังไม่สามารถที่จะรู้ได้ ว่าต่อไป อะไรจะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น นี่คือ เป็นแต่ละวัน พรุ่งนี้ ก็ไม่ใช่วันนี้ และ ต่อให้คิดถึงพรุ่งนี้อย่างไรๆ ก็ตาม เมื่อพรุ่งนี้ยังไม่มาถึง พรุ่งนี้จริงๆ จะเป็นอย่างไร ก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้!!! แต่ว่า ต้องมีแน่นอน เพราะว่า ยังมีเหตุที่จะต้องทำให้เกิดขึ้น ก็ต้องเกิด พรุ่งนี้ คุณคำปั่นจะทำอะไร?
อ.คำปั่น ท่านอาจารย์ครับ ก็เหมือนคิดครับว่า พรุ่งนี้เช้า มีสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ จะต้องเตรียมอะไรบ้าง อย่างนี้ครับ ก็มีการจัดสถานที่ จัดระบบเครื่องเสียง ระบบถ่ายทอดทั้งหลายครับ แต่ว่า ก็ยังไม่เกิดขึ้น จนกว่าจะถึงพรุ่งนี้ ครับ
ท่านอาจารย์ แล้วพรุ่งนี้ก็รู้ คุณวิชัยล่ะคะ?
อ.วิชัย ก็ช่วงนี้ กำลังเตรียมเรื่องของระบบ ก็คิดถึงแต่เรื่องนี้ครับ แต่ว่า ก็ไม่ทราบว่า จะเกิดอะไรขึ้นบ้างในวันพรุ่งนี้ครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ค่ะ ถ้าเสียงของเทปที่ออกรายการวิทยุดีขึ้นนะคะ ก็ต้องมีเหตุปัจจัย ใช่มั้ยคะ? เพราะว่า คุณวิชัย เป็นผู้ที่จะทำให้เทปเก่าๆ ที่มีเสียงกวนมากๆ กลายเป็นเทปที่ฟังดีขึ้นมากเลยค่ะ
อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับ แต่ก่อน ก็ไม่เคยคิดว่าสามารถจะมีการกระทำอย่างนี้ได้ แต่ก็ไม่ทราบว่า จะโดยบังเอิญหรือเปล่า? แต่ว่า ก็สนใจ เผอิญไปเจอว่ามีความสามารถ ที่จะทำตรงนี้ได้ครับ ก็โดยที่ไม่เคยคิดมาก่อน แต่ก่อนก็คิดว่า ไม่สามารถจะทำได้ แต่ว่าภายหลัง ก็มีปัจจัยที่จะรู้ว่า มีสิ่งที่สามารถที่จะทำตรงนี้ได้ ครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งขณะ เป็นธรรมะทั้งหมด แล้วก็เป็น "อนัตตา" ด้วย คนที่คิด แต่ทำไม่ได้ ก็มี ใช่ไหม? คิดก่อนนี้ ก็ทำไม่ได้ แต่พอคิดตอนนี้ ทำได้ ก็แล้วแต่เหตุปัจจัย ชีวิตก็เป็นอย่างนี้ แล้วก็ เป็นธรรมดา ถ้ารู้อย่างนี้ ก็ไม่เดือดร้อนเลย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะรู้แล้วว่า เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุที่จะให้เป็นอย่างนี้ ก็เป็นอย่างนี้ไม่ได้ แน่นอน!!!
ที่จริง "ชีวิต" ก็จะพ้นจาก สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ได้ ใช่ไหม? ไม่ว่าจะก่อนฟัง หรือหลังฟังธรรมะ ชีวิต ก็จะต้องเป็นอย่างนี้ แต่ สิ่งที่ต่างกัน ก็คือว่า ทั้งๆ ที่เป็นสุข เป็นทุกข์ ก็ยังคง "เป็นเรา" ไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดแล้วดับ แล้วจะเป็นเราได้อย่างไร? ใช่ไหม?
แต่เวลาที่เราฟังครั้งแรกก็ยาก รู้ว่าถูกต้อง แต่เวลาที่เรามีสุข หรือ มีทุกข์ เราก็ลืม!!! ไม่ได้มีความเข้าใจอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ตอนฟัง ก็เข้าใจดี แต่พอผ่านไป ก็ลืมอีกแล้ว เพราะฉะนั้น "ก่อนฟัง" ก็มีสุข มีทุกข์ "หลังฟัง" ก็มีสุข มีทุกข์ แต่มีความเข้าใจว่า สุข ทุกข์ นั้น ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาได้ และ ความจริง ก็จะเป็นเราได้อย่างไร? เมื่อเพียงเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้น ก็เป็นความเข้าใจความจริง ของสิ่งที่มี หลังจากที่ได้ฟังธรรมะแล้ว จนกว่าจะไม่ใช่เราจริงๆ เพราะเหตุว่า "ทุกคำ" เปลี่ยนไม่ได้เลย "เกิด-ดับ" ไม่ใช่ว่า เพียงพูดให้สบายใจ หรือ ให้กลัว ว่า เราก็แค่นี้เอง "ไม่มีตัวของเรา" อีกต่อไป มีแค่ธรรมะ ที่เกิดดับ แล้วแต่จะคิด คนฟังธรรมะด้วยกัน ก็คิดกันหลายอย่าง แต่ความเป็นจริง ก็คือว่า เมื่อมีความเข้าใจแล้ว จะเข้าใจยิ่งขึ้น เพราะรู้ว่า ยังไม่รู้ความจริงอันนี้ หรือว่า คิดว่า ไม่ต้องรู้ก็ได้??? ก็แล้วแต่ แต่ละคน
อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับ ก็ดูเหมือนกับว่า การที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรม คือ ก่อนที่จะมามีโอกาสได้ฟังพระธรรม ก็มีโอกาสได้กราบบูชาพระพุทธรูป ในสมัยเด็กๆ แต่ว่า ก็ไม่เข้าใจเลย ว่าที่กราบไหว้บูชา พระองค์เป็นใคร? โดยที่ยังไม่รู้จักเลย แต่ก็เห็นแต่ละท่าน ทำสืบๆ ต่อกันมา เพราะฉะนั้น การเริ่มต้น ที่จะมีความเข้าใจ ในคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ตรงไหนครับ ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ค่ะ เริ่มฟังพระธรรม ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้น ขณะนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง พระผู้มีพระภาคฯทรงตรัสรู้ โดยละเอียดอย่างยิ่ง โดยประการทั้งปวง ที่จะให้คนอื่น ได้สามารถเข้าใจถูกต้อง อย่างที่พระองค์ได้เข้าใจแล้ว เพราะแม้แต่ "ธรรมะ" คำเดียว ก็ต้องหมายความถึง สิ่งที่มีจริง ถ้าไม่มีอะไรเลย แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะตรัสรู้อะไร? และ สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ ก็คือ ความไม่รู้
แต่เพราะ สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ มีจริงๆ แต่ว่า ไม่มีใครเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น เมื่อได้ฟังธรรมะ ก็รู้เลยว่า สิ่งที่เคยมีมาแล้ว ตั้งแต่เกิด จนถึงบัดนี้ เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้และทรงแสดง ซึ่ง ก่อนนี้ เราจะไม่รู้ เราคิดว่า พระธรรม เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ได้ยินคำว่า อริยสัจจะ ปฏิจจสมุปปาท หรืออะไรก็แล้วแต่ แม้แต่คำว่า ศีล สมาธิ พวกนี้ ก็ได้ยิน แต่จริงๆ แล้ว คือ อะไร? อันนี้ สำคัญกว่า เพราะว่า โดยมาก เราพูดคำที่เราไม่รู้จัก ตั้งแต่เกิด จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม จึงเริ่มที่จะเข้าใจ สิ่งที่เราพูดมาแล้ว ว่า ความจริง คือ อะไร?
อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับ ก่อนที่จะฟังพระธรรม ที่ท่านอาจารย์ยกตัวอย่าง ในเรื่องของแม้ศีล หรือ แม้ทาน คือ อะไรครับ ท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ไม่ใช่เรา บอกแล้วไงคะ "ธรรมะ" ใช่ไหม? พูดทุกคำ แล้วรู้จักหรือเปล่า? ต้องทุกคำตรงกัน แล้วก็ ไม่ค้านกันเลย สิ่งที่มีจริง เป็นภาษาบาลี ใช้คำว่า "ธรรมะ" แต่ภาษาไทยก็คือว่า สิ่งนั้น มีจริงๆ "เห็น" มีจริง "เห็น" เป็นธรรมะ หรือเปล่า? แล้วเราเคยรู้หรือเปล่า? ว่า "เห็น" เป็นธรรมะ
"ธรรมะ" คือ สิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป นี่เป็นสิ่งใหม่มาก สำหรับแต่ละคน ที่จะได้ฟัง เพราะว่า "คิดเอง" กันมาตลอด บางคนก็ อ่านธรรมะนิดหนึ่ง ฟังธรรมะหน่อยหนึ่ง แล้วก็ "คิดเอง" เขียนหนังสือเป็นเล่มๆ ตั้งหลายเล่ม แต่ก็ไม่ใช่พระธรรม ตามที่ทรงแสดงไว้ ๔๕ พรรษา ที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก และ อรรถกถา เพราะฉะนั้น "ก่อนอื่น" ก็คือว่า "ไม่คิดเอง" แต่ "เริ่มรู้" ความลึกซึ้ง ของแต่ละคำ ที่ได้ยิน ว่า ถ้าไม่มีการตรัสรู้ จะไม่มีการเข้าใจ คำนั้นๆ เลย
เพราะฉะนั้น ก่อนอื่น ไม่ลืม นะคะ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นใคร? แล้วเรา เป็นใคร? ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคฯ ยังไม่ปรินิพพาน ก็มีผู้ที่ไปเฝ้า ฟังพระธรรม ท่านพระอัญญาโกณทัญญะ เป็นผู้ได้รู้แจ้ง อริยสัจจธรรม เป็นสาวก รูปแรก เพราะได้บำเพ็ญบุญมาแล้ว แต่ปางก่อน เพราะฉะนั้น คนในครั้งนั้น ไม่ได้มีแต่เฉพาะท่านอัญญาโกณทัญญะ มากมายหลายท่าน ที่เป็นสาวก ฟัง แล้ว เข้าใจ แล้วก็ รู้แจ้ง อริยสัจจธรรม ดับกิเลสได้!!!
ขณะนี้ ทุกคน มีกิเลสแล้วไม่รู้ เมื่อไหร่มีกิเลส??? พอพูดถึงกิเลส ก็ งงๆ เพราะฉะนั้น เวลาฟังธรรมะแล้ว "ชัดเจน" ทุกคำ แต่ว่า ต้อง "ทีละคำ" แล้วก็ มีความเข้าใจที่มั่นคง ที่ไม่เปลี่ยน ถ้าขณะนี้ ตั้งแต่วันนี้เลย "ธรรมะ" คือ สิ่งที่มีจริง ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะตรัสรู้ได้อย่างไร? ถ้าไม่มี และ "สิ่งที่มีจริง" ถ้าไม่ตรัสรู้ จะชื่อว่า ตรัสรู้อะไร? เพราะเหตุว่า กำลังมีจริงๆ แต่ ไม่รู้!!!
ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ธรรมดา มากเลย แต่ ไม่เคยรู้!!! "เริ่มฟัง" ว่า นี่แหละ คำธรรมดา สิ่งที่ธรรมดาเหล่านี้ เป็นสิ่งที่มีจริง ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้น เราไม่สามารถที่จะรู้ด้วยตัวเองได้ จนกว่าจะ ค่อยๆ ฟัง แล้วก็ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น สิ่งที่มีจริงทั้งหมด พระผู้มีพระภาคฯทรงตรัสรู้ว่า ไม่ใช่ของใคร และ ไม่ใช่ใคร เป็นสิ่งที่เกิด เพราะมีเหตุ ปัจจัย เมื่อเกิดแล้ว ก็ดับไป เร็วมาก แล้วก็มีการเกิดดับ สืบต่อ (แต่) ไม่ปรากฏการเกิดดับสืบต่อเลย จึงลวง เหมือนว่าเที่ยง เช่น ในขณะนี้ เป็นต้น
เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม "ฟัง" สิ่งที่กำลังมี เดี๋ยวนี้!!! ให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น "ทุกคำ" ว่าจริงหรือเปล่า? ขณะนี้ เหมือนมี "เห็น" กับมี "ได้ยิน" ด้วย แต่ ความจริงแล้ว "เสียง" ไม่ปรากฏทาง "ตา" ให้เห็น และ "สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้" ก็ไม่ใช่ "เสียง" เพราะฉะนั้น ขณะที่ "เสียง" ปรากฏ อย่างอื่น จะปรากฏไม่ได้เลย เพราะไม่เหมือนกัน จะปรากฏได้อย่างไร? ต้องปรากฏ ทีละหนึ่ง
เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า "ทุกอย่าง" เป็นสิ่งที่มีจริง "ได้ยิน" แล้วก็ ดับ จากไม่ได้ยิน เกิดได้ยิน แต่ก็ไม่ได้ยินตลอดไป "ได้ยิน" ก็หมดไปแล้ว ดู "เป็นธรรมดา" มาก แต่ก็ไม่เคยสนใจ ที่จะ "เข้าใจ" ว่า ความจริง คือ กำลังเกิดดับนี่แหละ เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ไม่ใช่ว่า "คิด" แล้วก็สอน บางคนเข้าใจว่า พระองค์คิดเก่ง คิดจนสอนอย่างนี้ แต่ความจริง ไม่ใช่จากการเพียงคิดหรือเข้าใจ แต่ต้องเป็นการ "ตรัสรู้" คือ "รู้แจ้ง" "ประจักษ์แจ้ง" ในการเกิดขึ้น และ ดับไป ของสิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้!!!
อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับ เมื่อสักครู่ ผมได้กล่าวถึงเรื่องของปัญญา แล้วท่านอาจารย์ก็กล่าวว่า การที่บุคคล จะรู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องฟังพระธรรม แต่ว่า การที่ปัญญา ที่เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้น เป็นความเห็นถูก ความเข้าใจถูก บางครั้ง บุคคลก็กล่าว "ปัญญา" แต่ว่า ไม่รู้จัก "ปัญญา" ว่า คือ อะไร?
ท่านอาจารย์ ค่ะ ได้ยินแต่ "ชื่อ" แต่ถ้าถามว่า "คือ อะไร?" จะตอบไม่ได้!!! เพราะฉะนั้น คนที่ฟังธรรมะ จะเริ่มต้นด้วย "คือ อะไร?" ก่อน แล้วถึงศึกษา หรือ เข้าใจเรื่องนั้น ให้ละเอียดยิ่งขึ้นได้ อย่าง "จิต" ทุกคนก็เคยได้ยิน เคยพูดด้วยซ้ำไป คนนั้นใจดี คนนี้ใจร้าย แล้ว คือ อะไร? เดี๋ยวนี้ มีหรือเปล่า? อยู่ที่ไหน?
โดยเฉพาะ ใครที่คิดจะฝึกจิต ไม่รู้จักจิต ก็คิดจะฝึกจิต แต่ถ้ารู้จักจิต จะฝึกจิตไหน? จะฝึกจิตที่กำลังเห็นหรือ? "เห็น" เกิดและดับแล้ว จะฝึกจิตที่ได้ยิน "ได้ยิน" ก็เกิดขึ้นและดับแล้ว เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดแล้วดับแล้ว ไม่ใช่ของใคร แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาด้วย "แต่ละคำ" ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ฟัง ไม่ใช่เราสามารถที่จะรู้ความจริงได้ทันที แต่ "เริ่มรู้" ว่า ชีวิต ก็คือ แค่นี้เอง!!!
จากไม่มี แล้วก็เกิดมีขึ้น แล้วก็อย่างคร่าวๆ ก็คือว่า แล้วก็จากโลกนี้ไป แล้วระหว่างที่อยู่ในโลก ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป มีอะไรบ้าง? เดี๋ยวสุข เดี๋ยวสนุกสนาน แล้วก็ลืมหมด!!! แล้วก็ไม่กลับมาอีกด้วย!!!
โดยเฉพาะ ถ้าจากโลกนี้ไปแล้ว จะเป็นบุคคลนี้อีก ไม่ได้เลย สักขณะจิตเดียว จะเอาเงินซื้อสักเท่าไหร่ก็ไม่ได้!!! จะไปขอร้องใคร ว่าขอมีชีวิตอยู่ต่อ อีกหนึ่งขณะ ก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่า ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ข้อสำคัญคือ ก่อนจากโลกนี้ไป ไม่ได้เข้าใจถูก ไม่ได้รู้ความจริงของสิ่งที่มี ...
ข้อความบางตอน จากการบรรยายแนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๑๓๗๕
ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษา มหามกุฏราชวิทยาลัย
วันอาทิตย์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๗
" ... การที่จะพิจารณารูป มีการที่จะพิจารณาโดยนัยหลายอย่าง ซึ่งข้อความในพระคัมภีร์ สัจจสังเขป ได้กล่าวถึงการพิจารณารูปโดยนัยต่างๆ คือ พิจารณารูปในภพหนึ่งๆ อันกำหนดด้วยจุติและปฏิสนธิย่อมดับไปในภพนั้นๆ นั่นแหละ เพราะเหตุนั้น รูปไม่เที่ยง เพราะไม่เที่ยงจึงเป็นทุกข์ เพราะเป็นทุกข์จึงเป็นอนัตตา ทุกคนมีรูป แต่เพราะไม่ได้พิจารณารูป จึงไม่สามารถที่จะดับ ความยินดีพอใจในรูป เพราะเหตุว่าไม่เห็นว่า รูปไม่เที่ยง เพราะฉะนั้น ข้อความในพระคัมภีร์ สัจจสังเขป จึงได้แสดงการพิจารณารูปในภพหนึ่งชาติหนึ่ง คือ รูปชาติก่อน เป็นใคร แล้วก็สิ้นชีวิตจากชาติก่อนในขณะวัยไหน อาจจะในวัยเด็ก หรือว่าในวัยกลาง หรือว่าในวัยชรา ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ เพราะเหตุว่ารูปชาติก่อนก็ดับหมด พร้อมกับจุติจิตของชาติก่อน สำหรับในชาตินี้ รูปที่กำลังมีอยู่นี้ เป็นใครในชาตินี้ ก็จะเป็นอยู่ได้ไม่นานเลย แล้วก็รูป ซึ่งยึดถือว่าเป็นเราในชาตินี้ทั้งหมด ก็จะดับพร้อมจุติจิต เพราะฉะนั้น ก็ควรจะพิจารณาความไม่เที่ยงของรูปตั้งแต่ชาติก่อน จนถึงความไม่เที่ยงของรูปในชาตินี้ และรูปในชาติต่อๆ ไปด้วย เพราะฉะนั้น การคิดถึงรูปแม้ในชาติก่อนว่าไม่เที่ยง ก็เป็นเหตุที่จะให้คลายความยึดติดในรูปของตนเอง แม้ในชาติปัจจุบัน หรือว่า แม้ในสมบัติทั้งหลายที่มีในชาติปัจจุบันด้วย ... "
... ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ตลาดบางหลวง ...
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณเบญจวรรณ รัศมีสุวรรณกุล คุณบรรอร ภมรจรัส และ คุณปราณี แซ่อึ้ง และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณเบญจวรรณ รัศมีสุวรรณกุล คุณบรรอร ภมรจรัส และ คุณปราณี แซ่อึ้ง
ขอบพระคุณลและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณเบญจวรรณ รัศมีสุวรรณกุล คุณบรรอร ภมรจรัส และ คุณปราณี แซ่อึ้ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย มา ณ กาลครั้งนี้ด้วยครับ ได้ประโยชน์ สาระ และความรู้ มากๆ โดยเฉพาะอดีตเก่าๆ ทำให้รู้ตัวว่าแก่ไปมาก และธรรมะดีๆ ที่คัดสรรมาอย่างดีครับ
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ด้วยครับ
บรรยายเรื่องในอดีตได้ดีมาก ราวกับเดินอยู่ในตลาดอำเภอวัดสิงห์ยังไงยังงั้นเลย เรื่องธรรมะ ก็ลึกซึ้งกินใจ ส่วนภาพนั้นไม่ต้องกล่าวถึง สุดยอดฝีมืออยู่แล้ว มีคนสังเกตเห็นวิ่งขึ้นวิ่งลงแพ สองข้าง หลายเที่ยว คิดเป็นระยะทางหลายกิโลเพื่อหามุมเหมาะๆ แล้วก็ได้ภาพเด็ดจริงๆ ทำ ให้ดูเหมือนภาพโบราณเมื่อร้อยกว่าปี และภาพในปัจจุบัน สุดยอดฝีมือในคนเดียวกัน ทั้งเขียน ทั้งถ่าย ทั้งขับรถพาไป ทั้งร้องเพลง ทั้งเล่นดนตรีไทย How a wonderful Wanchai !
ขออนุโมทนา และขอบคุณคุณวันชัย ภู่งามที่ได้รวบรวมคำสนทนาธรรมของท่านอาจารย์สุจินต์ พร้อมรูปภาพประกอบมาให้สมาชิกได้รับทราบกันอย่างดียิ่งครับ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณเบญจวรรณ รัศมีสุวรรณกุล คุณบรรอร ภมรจรัส และ คุณปราณี แซ่อึ้ง ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ