ผลของทานและทานบารมีคือคำสอนคนละนัยใช่มั้ยครับ
กราบเรียนถามท่านอาจารย์ครับ
เคยได้ฟังว่า ควรให้ทานแก่เนื้อนาบุญ คือให้แก่ผู้มีศีล เป็นต้น ชื่อว่าทานนั้นมีผลมาก แต่ก็ได้ฟังมาอีกว่า ทานบารมี จะไม่มีการเลือกผู้รับ เพราะขณะที่ให้นั้นเป็นการขัดเกลาความเป็นเรา
ผมจึงอยากทราบว่า คำสอนเรื่องการให้ผลของทานและทานบารมีที่เกิดจากทานเป็นคำสอนคนละนัยใช่หรือไม่ครับ กรณีที่ขัดแย้งกันมากคือเรื่องการให้เงินขอทาน ส่วนใหญ่สังคมปัจจุบันจะแอนตี้การให้เงินแก่ขอทาน ในมุมของคนศึกษาธรรมะบางกลุ่มก็เห็นว่าไปทำทานกับพระดีกว่าเพราะยึดพระสูตรที่บอกว่าให้ทานแก่ผู้มีศีลแล้วจะมีผลมาก แต่อีกกลุ่มหนึ่งก็บอกว่าถ้าเป็นทานบารมีจะไม่เลือกผู้รับไม่หวังผล เพราะเป็นไปเพื่อการขัดเกลาตัวตน
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
บารมี หมายถึง สภาพธรรมที่ทำให้ถึงฝั่ง ซึงจะต้องประกอบด้วยปัญญา ซึ่งถ้าเป็นการให้ทาน ก็คือ ให้ทานที่ประกอบด้วยปัญญา ให้เพื่อสละความตระหนี่ ขัดเกลากิเลส ส่วนการให้ ที่เลือกผู้รับ คือ ผู้มีปัญญา ย่อมให้ทานกับเนื้อนาบุญ ย่อมมีผลมาก การให้ด้วยการคิดหวังผล กับการเลือกให้ด้วยคิดถูกที่ควรให้ในบุคคลผู้เลิศย่อมต่างกัน เพราะการให้ด้วยโลภะ ไม่ใช่บารมี แต่การเลือกให้ด้วยปัญญา ที่เห็นควรให้กับบุคคลที่เหมาะสม และขัดเกลากิเลสด้วยเป็นบารมี จึงไม่ขัดกันแต่อย่างใด ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การเจริญกุศลในทางพระพุทธศาสนาทุกอย่างทุกประการ ต้องเป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองเท่านั้น ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน สละวัตถุสิ่งของเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่น เพราะบุคคลผู้ควรแก่การรับทานมีมากทีเดียว การรักษาศีล และการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เป็นต้น ก็เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อหวังผลหรือต้องการผลจากการได้เจริญกุศลประการนั้นๆ เพราะเมื่อเหตุสมควรแก่ผล ผลก็ต้องเกิดขึ้นเป็นไปอยู่แล้ว โดยไม่ต้องหวัง เพราะในขณะที่หวังนั้น เป็นอกุศล ไม่ใช่กุศล ความเข้าใจพระธรรมเท่านั้น ที่จะอุปการะเกื้อกูล ให้กุศลธรรมประการต่างๆ เจริญขึ้นในชีวิตประจำวัน เป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง จนกว่ากิเลสทั้งปวงจะถูกดับหมดสิ้นไปได้ในที่สุด ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...