ถามเรื่องกรรมคือเจตนาเจตสิกเกิดกับจิตทุกดวง กรรมเป็นนามธรรม

 
NYC
วันที่  16 ม.ค. 2558
หมายเลข  26050
อ่าน  1,165

กราบเรียนถามท่านอาจารย์ครับ

แต่ก่อนผมเคยได้ยินพระเทศน์สอนว่ากรรมคือการกระทำ เลยเข้าใจผิดมาตลอดว่ากรรมคือการกระทำที่เราเห็นๆ กัน พอมาฟังท่านอาจารย์ได้ทราบว่ากรรมคือสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม เกิดกับจิตทุกดวง

ผมจึงขอกราบเรียนถามเรื่องกรรมหน่อยครับ เมื่อเจตนาเจตสิกคือกรรม และยังเกิดกับจิตทุกดวง เป็นนามธรรม ดังนั้น ทุกๆ ความคิดทั้งดีและไม่ดีที่เกิดขึ้นแม้จะนั่งอยู่เฉยๆ ยังไม่ล่วงเป็นกรรมบถจะให้ผลของกรรมหรือไม่ครับ หากไม่ให้ผล แล้วจะสะสมไปเป็นอะไรครับ ทุกๆ เจตนาเจตสิกที่เกิดในแต่ละขณะจิต แม้จะยังไม่ได้ล่วงออกมาเป็นกรรมบถ สามารถนำกำเนิดในภพต่อไปได้หรือไม่ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 16 ม.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เจตนาเจตสิก เกิดกับจิตทุกดวง และเกิดแล้วก็ดับไป พร้อมกับจิตที่เกิดร่วมด้วย แต่ก็ควรเข้าใจว่า เจตนาเจตสิกเกิดกับจิตทุกประเภท แต่ไมได้หมายความว่าเจตนานั้น จะต้องเป็นกรรม ที่เป็น กุศลกรรม หรือ อกุศกลกรรม เสมอไป เพราะเจตนาเจตสิกเกิดกับจิตที่เป็น กุศลจิต อกุศลจิต วิบากจิต ที่เป็นผลของกรรมก็ได้ และ กิริยาจิต เพราฉะนั้น เจตนาเจตสิกที่จะเป็นกรรม ที่จะให้ผล คือ เจตนาที่เป็นไปใน กุศลจิต และอกุศลจิต แต่ที่เกิดกับวิบากจิต และ กิริยาจิต ไม่ทำให้เกิดผลเลย และเมื่อละะเอียดลงไปอีก เจตนาเจตสิก ที่เกิดกับจิต ทีเป็นกุศลจิต อกุศลจิต ก็ยังเป็นแบบที่ให้ผลก็มี ไม่ให้ผลก็มี ขอยกตัวอย่าง เจตนาเจตสิกที่เกิดกับ จิตที่โกรธ ขณะที่โกรธในใจ มีเจตนา จงใจ ตั้งใจในขณะนั้น แต่เมื่อโกรธในใจ ไม่ได้แสดงออกมาทางกาย วาจา ก็ไม่ได้มีเจตนาทางกาย วาจา ที่เป็นในทางทุจริต ไม่ถึงกับการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ที่ล่วงศีล ที่เป็นอกุศลกรรมที่มีกำลัง เพียงแต่โกรธในใจ แม้มีเจตนาเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่ก็ไม่เป็นกรรมที่จะให้ผล จึงไม่ล่วงศีล ไม่ทำให้เกิดวิบาก แม้เพียงมีเจตนา เพียงแค่โกรธในใจ ครับ

แต่หากว่า เจตนานั้นเกิดกับอกุศลจิตที่มีกำลัง ที่แสดงออกมาทางกาย วาจา จนถึงขนาดฆ่าผู้อื่น เพราะมีเจตนาฆ่า อย่างนี้ ก็เป็นการล่วงศีล ครับ เพราะฉะนั้น แม้จะมีเจตนา แต่ก็ต้องพิจารณาว่า ครบองค์กรรมบถ หรือไม่ ถ้าไม่ครบกรรมบถก็ไม่ล่วงศีล ไม่ให้ผล ยกตัวอย่างเช่น มีเจตนาฆ่าคนอื่น และก็พยายามที่จะฆ่า แต่ผู้นั้นไม่ตาย ก็ยังไม่สำเร็จเป็นปาณาติบาต ก็ยังไม่ล่วงศีล เพราะฉะนั้น การจะล่วงศีล ไม่ล่วงศีล ให้ผล หรือ ไม่ให้ผล สำคัญที่เจตนาประการหนึ่งว่า มีเจตนาทุจริตหรือไม่ ไม่ได้หมายความว่า เมื่อจิตมีเจตนาเกิดร่วมด้วยเสมอ จะเป็นการล่วงศีลเสมอ ต้องดูที่เจตนานั้นเกิดกับจิตประเภทอะไร และเจตนาที่เกิดกับจิตนั้น เป็นเจตนาที่เป็นอกุศลกรรมที่มีกำลังหรือไม่ และยังต้องพิจารณาว่า ครบกรรมบถในข้อนั้นหรือไม่ครับ จึงสรุปได้ว่าเจตนาที่เกิดกับจิตทุกดวง ไม่ได้หมายความว่าจะต้องให้ผลของกรรมเสมอไป ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 16 ม.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การศึกษาพระธรรมด้วยความละเอียดรอบคอบ ย่อมเป็นไปเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริงแล้ว เจตนา เป็นเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตทุกประเภท ไม่มียกเว้น ทุกครั้งที่จิตเกิดขึ้นจะต้องมีเจตนาเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นเจตนาที่เกิดกับจิตประเภทใด กล่าวคือ ถ้าเกิดร่วมกับกุศลจิตก็เป็นกุศล ถ้าเกิดร่วมกับอกุศลจิต ก็เป็นอกุศล ถ้าเกิดร่วมกับวิบากจิต ก็เป็นวิบาก ถ้าเกิดร่วมกับกิริยาจิต ก็เป็นกิริยา ความจริงเป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น ไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงได้

เจตนาเจตสิก เป็นกรรม เป็นสภาพธรรมที่ตั้งใจ จงใจขวนขวายในการปรุงแต่ง จึงเป็นกัมมปัจจัย กัมมปัจจัย จำแนกออกเป็น ๒ อย่าง คือ สหชาตกัมมปัจจัย กับ นานักขณิกกัมมปัจจัย

สหชาตกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาเจตสิกซึ่งเป็นกัมมปัจจัยเกิดพร้อมกับปัจจยุปบันนธรรม (ธรรมที่เป็นผลของปัจจัย) คือ เกิดพร้อมกับจิตและเจตสิกอื่นๆ ในขณะนั้น เพราะฉะนั้น สหชาตกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาเจตสิกที่เกิดกับจิต ๘๙ ดวง และเจตสิกอื่นๆ ที่เกิดร่วมกันในขณะนั้น และรูปที่เกิดขึ้นเพราะจิตและเจตสิกในขณะนั้น ซึ่งก็ต้องเกิดเพราะเจตนาที่เกิดร่วมด้วยในขณะนั้นด้วย ตามควรแก่จิตประเภทนั้นๆ ที่ทำให้เกิดรูปได้

นานักขณิกกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาเจตสิกซึ่งเป็นกัมมปัจจัยทำให้ปัจจยุปบันนธรรม คือ ผลของกัมมปัจจัยนั้นเกิดขึ้นต่างขณะกัน คือ ไม่ใช่เกิดพร้อมกับเจตนาเจตสิกเหมือนอย่างสหชาตกัมมปัจจัย แต่ว่า ทำให้ผลของเจตนาเจตสิกเกิดขึ้นต่างขณะกัน ไม่ใช่ในขณะเดียวกัน จึงชื่อว่า “นานักขณิกกัมมปัจจัย” เป็นกัมมปัจจัยที่ทำให้ผล คือ วิบากจิต และเจตสิก และกัมมชรูป (รูปที่เกิดจากกรรม) เกิดขึ้นในภายหลังเมื่อเจตนาซึ่งเป็นกรรมนั้นดับแล้ว เพราะฉะนั้น สำหรับนานักขณิกกัมมปัจจัย ก็ได้แก่ เจตนาในกุศลจิตและในอกุศลจิตเท่านั้น ไม่ใช่เจตนาในจิตซึ่งเป็นวิบาก หรือเจตนาในจิตซึ่งเป็นกิริยา นี้คือ ความละเอียดลึกซึ้งของธรรม

สำหรับเจตนาที่เกิดร่วมกับจิตชาติวิบาก กับ ชาติกิริยา แม้จะเป็นกรรม แต่ก็ไม่ใช่กรรมที่จะให้ผลในภายหน้า เพราะชาติวิบาก เป็นการรับผลของกรรม ส่วนชาติกิริยาเป็นเพียงเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่แล้วดับไป ไม่เป็นเหตุให้เกิดผลในภายหน้าได้เลย ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 16 ม.ค. 2558

ถ้ายังไม่ได้ล่วงออกมาทางกาย ทางวาจา ก็ยังไม่ให้ผล แต่เป็นการสะสมอกุศลจิต ถ้าสะสมอกุศลจิตบ่อยๆ ก็จะเป็นปัจจัยให้มีกำลังทำให้ล่วงทุจริตทางกาย ทางวาจา ก็จะเป็นเหตุให้ไปสู่ทุคติภูมิค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
bsomsuda
วันที่ 17 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 22 ก.พ. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Jarunee.A
วันที่ 25 ก.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ