โอวาทปาติโมกข์
สวัสดีค่ะ หลักธรรมในโอวาทปาติโมกข์ที่เริ่มจากทำความดี ไม่ทำชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์กับที่เริ่มจาก ไม่ทำชั่ว ทำดีและทำจิตให้บริสุทธิ์ ไม่ทราบว่า แตกต่างกันหรือเปล่าค่ะ
ขอบคุณค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม หลายนัย ตามลำดับ ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์เริ่มจาก ละชั่ว ทำดี และ ทำจิตให้บริสุทธิ์ ซึ่งการเรียงลำดับ เพื่อให้เห็นถึง ว่า หากไม่รู้จักความชั่ว ไม่เริ่มละความชั่ว จะทำดีได้อย่างไร เพราะฉะนั้น เมื่อรู้จักความชั่ว จึงละความชั่วด้วยกุศลธรรม คือ ด้วยความดี แต่ไม่ใช่ทำความดีก่อนโดยที่ไม่รู้จักความชั่ว และ ละชั่วครับ ซึ่งในความละเอียดของโอวาทปาฏิโมกข์นั้น
ขอเชิญอ่านรายละเอียดลึกซึ้งดังนี้ ครับ
ท่านอาจารย์สุจินต์กล่าวในเรื่อง โอวาทปาฏิโมกข์ไว้น่าฟังดังนี้
โอวาทปาฏิโมกข์ การไม่ทำบาปทั้งสิ้น การทำกุศลให้ถึงพร้อม การทำจิตให้บริสุทธิ์ ก็ต้องเข้าใจค่ะว่า ธรรมลึกซึ้งจริงๆ ไม่ใช่เพียงอ่านจะเข้าใจได้เข้าใจเองผิด เป็นเราที่จะไม่ทำบาป หรือว่าเป็นเราที่ทำกุศล เป็นเราที่พยายามทำจิตให้บริสุทธิ์ บางคนคิดว่า ขณะที่ไม่ทำบาป เขาก็เป็นคนดีแล้วไม่มีอะไรที่จะต้องสนใจมากกว่านั้น เพราะเว้นบาปแล้ว แต่ขณะที่เว้นบาป ยังมีความดีมากกว่านั้นอีก ทำดีหรือเปล่า หรือว่าตลอดชีวิตก็แค่ไม่ทำบาป แต่ไม่ได้ทำดี นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ได้รู้ความจริงเลยว่าตลอดชีวิตเป็นธรรม ซึ่งไม่มีใครสามารถจะให้ความจริงได้
ถ้า..เพียงได้ยินว่า "ไม่ทำบาป" ลึกซึ้งไหม ใครก็พูดได้ ใช่ไหม แต่รู้ไหมว่าขณะที่ไม่ทำบาป ความจริงขณะนั้น คืออะไร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมจริงที่มีอยู่ตามปกติในชีวิตประจำวัน ให้มีความเห็นถูก เข้าใจถูกว่าขณะนั้นๆ เป็นอะไรไม่เพียงแต่ว่า ไม่ทำบาป ธรรมดาใครๆ ก็พูดได้ ใช่ไหมคะ
ไม่ทำบาป ความลึกซึ้งอยู่ที่ขณะนั้น ไม่ทำบาปน่ะ เป็นอะไรหรือแม้ขณะนี้ ขณะที่กำลังฟังธรรมนี้ ขณะนี้เป็นอะไร ทรงแสดงความจริงในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นธรรมมีอยู่ในชีวิตประจำวัน หรือจะกล่าวว่าชีวิตประจำวัน ทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น ตั้งแต่เช้ามานี้ก็ธรรมทั้งหมด หลากหลาย ทางตาเห็น ทางหูได้ยิน ทั้งหมดเป็นธรรม เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าใจในขณะที่ไม่ทำบาป แม้ในขณะนี้ หรือขณะไหนก็ตาม ที่จะรู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเข้าใจคำสอนของพระองค์ว่าธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา หมายความว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ขณะนี้เกิดแล้วเป็นธรรม แต่ไม่รู้จักธรรม เพราะฉะนั้น การฟังธรรม ก็คือว่า ขณะนี้เว้นบาปหรือเปล่า เห็นไหม ทุกขณะนี้เป็นธรรมทั้งหมด ขณะใดก็ตามที่ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ หรือว่าอกุศลทั้งหลายเกิดขึ้น ขณะนั้นไม่ใช่ขณะที่เป็นบาป อกุศลก็ไม่ได้กระทำบาปด้วย แต่เป็นอะไร ถ้ายังคงเป็นเราอยู่ ก็หมายความว่า คนนั้น ยังไม่ได้ยิน ยังไม่ได้ฟังคำสอนจริงๆ ของพระผู้มีพระภาค เพราะว่าถ้าเป็นคำสอนจริงๆ ทรงแสดงให้เริ่มเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ตั้งแต่คำว่า "ธรรม" ไม่ใช่เผินๆ แล้วก็คิดว่า พอได้ยินทุกคนก็เข้าใจ มีใครบ้างที่จะไม่รู้จักธรรม ความจริงพูดอย่างนี้ คนนั้นน่ะรู้จักธรรมจริงๆ หรือเปล่า หรือว่าเพียงแต่ได้ยินธรรมก็คิดเอง อย่างท่านผู้หนึ่ง ท่านก็บอกว่า ก่อนฟังธรรมท่านเข้าใจว่าธรรมคือ กุศลอย่างเดียว ไม่คิดเลยว่าอกุศลก็เป็นธรรมด้วย แต่ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศลใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งใดที่มีจริง ปรากฏให้รู้ให้เข้าใจได้ แต่สิ่งที่ยังไม่ได้ปรากฏ ยังไม่เกิดขึ้น ไม่สามารถจะทำให้เข้าใจได้ ห รือว่าสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น แม้แต่เพียงข้อความที่ว่า ไม่ทำบาปทั้งสิ้น แต่ว่าจะต้องเข้าใจให้ลึกซึ้งกว่านั้น เพราะเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้รู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรมก่อน เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลัง ไม่ทำบาป ก็เป็นธรรม ขณะที่ทำบาปก็เป็นธรรม ทุกอย่างในชีวิตเป็นธรรมทั้งหมด
แม้แต่ในเรื่องของการไม่ทำบาปทั้งสิ้น (ละชั่ว มี ความติดข้องต้องการ ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ) การยังกุศลให้ถึงพร้อม (ทำความดี) และการยังจิตของตนให้ผ่องใส ซึ่งเป็นโอวาทปาติโมกข์ (คำสอนที่เป็นหลักสำคัญ) นั้น ก็มีอรรถที่ลึกซึ้งตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งสูงสุด คือ บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์เลยทีเดียว โดยที่ไม่มีตัวตนที่จะละชั่ว ไม่มีตัวตนที่จะทำความดี และไม่มีตัวตนที่จะยังจิตให้ผ่องใส แต่เกิดจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม มีความเข้าใจพระธรรม และธรรมนั้นเองจะทำหน้าที่ละชั่ว ทำความดี และยังจิตของตนให้ผ่องใส เพราะทุกอย่างเป็นธรรมและเป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
ดังนั้น จึงต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาด้วยตนเองเป็นปกติในชีวิตประจำวัน โดยเป็นผู้เห็นประโยชน์สูงสุดของปัญญา (ความเข้าใจถูกเห็นถูก) สะสมปัญญาไปตามลำดับ พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงเป็นไปเพื่อความพ้นจากการตกไปด้วยอำนาจของกิเลส พ้นจากการตกไปในอบายภูมิ พ้นจากการตกไปในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งจะขาดปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกไม่ได้เลย
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษาและมีความเข้าใจ อย่างแท้จริง เพราะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นไปเพื่อละอกุศล เป็นไปเพื่อดับทุกข์โดยประการทั้งปวง เป็นไปเพื่อการไม่เกิดอีกในสังสารวัฏฏ์
แม้แต่ในเรื่องของการไม่ทำบาปทั้งสิ้น (ละชั่ว) การยังกุศลให้ถึงพร้อม (ทำความดี) และ การยังจิตของตนให้ผ่องใส ซึ่งเป็นโอวาทปาติโมกข์ (คำสอนที่เป็นหลักสำคัญ) นั้น ก็มีอรรถที่ลึกซึ้งตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งสูงสุด คือ บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์เลยทีเดียว โดยที่ไม่มีตัวตนที่จะละชั่ว ไม่มีตัวตนที่จะทำความดี และไม่มีตัวตนที่จะยังจิตให้ผ่องใส แต่เกิดจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม มีความเข้าใจพระธรรม และธรรมนั้นเอง จะทำหน้าที่ละชั่ว ทำความดี และยังจิตของตนให้ผ่องใส เพราะทุกอย่างเป็นธรรมและเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
ดังนั้น จึงต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาด้วยตนเองเป็นปกติในชีวิตประจำวัน โดยเป็นผู้เห็นประโยชน์สูงสุดของปัญญา (ความเข้าใจถูกเห็นถูก) สะสมปัญญาไปตามลำดับ พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง เป็นไปเพื่อความพ้นจากการตกไปด้วยอำนาจของกิเลส พ้นจากการตกไปในอบายภูมิ พ้นจากการตกไปในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งจะขาดปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก ไม่ได้เลย ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...