ปิติ
เรียน อาจารย์ทั้งสองท่าน
"ปิติ" ขอความอนุเคราะห์อาจารย์ช่วยกรุณาให้อรรถาธิบายในคำนี้ด้วย ครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่ว่าจะกล่าวถึงอะไร ก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรม ที่มีจริงในขณะนี้ แม้แต่ในเรื่องของปีติ ก็เช่นเดียวกัน เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ เป็นความเอิบอิ่ม ปลาบปลื้มใจ เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา ซึ่งจะเป็นกุศลก็ได้ เป็นอกุศลก็ได้เพราะเหตุว่าปีติ เป็นปกิณณกเจตสิก เกิดได้กับจิตทั้ง ๔ ชาติเลย ตามควรแก่จิตประเภทนั้นๆ เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ครับ
ปีติเจตสิก เป็นเจตสิกที่ปลาบปลื้ม เอิบอิ่ม ร่าเริง จึงเกิดร่วมกับโสมนัสเวทนาเท่านั้น ไม่เกิดร่วมกับเวทนาอื่นๆ เลย ปีติเจตสิก เกิดร่วมกับจิตที่มีโสมนัสเวทนาเกิดร่วมด้วย ๕๑ ดวง คือ กามโสมนัสจิต ๑๘ ดวง ปฐมฌานจิต ๑๑ ดวง ทุติยฌานจิต ๑๑ ดวง ตติยฌานจิต ๑๑ ดวง จิตที่มีโสมนัสเวทนาเกิดร่วมด้วย แต่ไม่มีปีติเจตสิกเกิดร่วมด้วยนั้นมี ๑๑ ดวง คือ จตุตถฌานจิต ๑๑ ดวง ทั้งนี้เพราะจตุตถฌานจิตประณีตกว่าตติยฌาน ซึ่งมีปีติเจตสิกเกิดร่วมด้วย
เพราะฉะนั้น ปีติ ก็มีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น เป็นธรรมไม่ใช่เรา เพราะอาศัยการฟังพระธรรมที่เข้าใจก็เกิด ปีติ ได้ในขณะนั้น ซึ่งหนทางที่ถูกต้อง คือ การเข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่เป็น ปีติ ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในสมัยครั้งพุทธกาล ผู้ที่ได้ฟังพระธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เกิดความรู้ ความเข้าใจ เห็นจริงตามพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง จึงเกิดความปลื้มใจ ปีติ ยินดี เบิกบาน มีการชื่นชมพระดำรัสของพระองค์ว่า ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งยิ่งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกหนทางให้แก่คนหลงทาง หรือตามประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูปได้ นี้คือตัวอย่างของความปีติ ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นไปกับกุศล แต่ถ้าได้อะไรที่น่าปรารถนาน่าใคร่น่าพอใจ แล้วเกิดความชอบ ปลื้มใจ ติดข้อง ขณะนั้นก็เป็นปีติ ที่เป็นไปกับอกุศล คือ โลภะ พร้อมกับความรู้สึกที่เป็นโสมนัส ทั้งหมด คือ สภาพธรรมที่มีจริงๆ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...