ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงแรมอิมพีเรียลแม่ปิง จ.เชียงใหม่ ๒๗-๒๘ มกราคม ๒๕๕๘
เมื่อวันที่ ๒๗ - ๒๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และ คณะวิทยากร คุณนีน่า วัน กอร์คอม อาจารย์ธีรพันธ์ ครองยุทธ อาจารย์ธิดารัตน์ หอมจันทร์ อาจารย์วิชัย เฟื่องฟูนวกิจ และ อาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย ได้รับเชิญจากชมรมบ้านธัมมะ มศพ. จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อไปสนทนาธรรม ที่ โรงแรมอิมพีเรียลแม่ปิง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งทางชมรมบ้านธัมมะ มศพ. จังหวัดเชียงใหม่ ได้จัดให้มีการสนทนาธรรม ปีละ ๒ ครั้ง ครั้งต่อไป ในวันที่ ๒๑ - ๒๒ กรกฎาคม ปีนี้ ที่โรงแรมแคนทารี ฮิลล์ ถนนนิมมานเหมินทร์
ข้าพเจ้ามีโอกาสเข้าร่วมฟังการสนทนา ในวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๘ เต็มวัน และ จะเดินทางติดตามคณะของท่านอาจารย์ ต่อไปยังจังหวัดเชียงราย ในตอนเย็น เป็นโอกาสดีอีกครั้ง สำหรับข้าพเจ้า หลังจากที่ได้มาฟังการสนทนาธรรมที่จังหวัดเชียงใหม่ ครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ คือ เมื่อสองปีที่แล้ว ท่านที่สนใจความการสนทนาเมื่อครั้งนั้น สามารถคลิกชมได้ที่นี่ครับ...
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงแรมอิมพีเรียลแม่ปิง จ.เชียงใหม่ ๒๙ - ๓๐ มกราคม ๒๕๕๖
ในวันที่ ๒๘ ที่ข้าพเจ้ามีโอกาสเข้าร่วมฟัง เนื่องจากเป็นการสนทนาธรรมเต็มวัน ทางชมรมบ้านธัมมะ มศพ. จังหวัดเชียงใหม่ ได้จัดเลี้ยงอาหารกลางวันแบบบุฟเฟต์ ซึ่งมีอาหารนานาชนิด หลากหลายให้ทุกท่านได้รับประทาน ขออนุโมทนาท่านเจ้าภาพครับ ได้รับประทานทั้งขนมเบื้องญวนดั้งเดิม แป้งบางหอมกรอบ พร้อมน้ำจิ้มอาจาดรสชาติพอเหมาะ และขนมจีนน้ำเงี้ยว ที่เจอที่ไหนก็ไม่เคยพลาด อร่อยถูกใจในรสที่เคยจำไว้ว่าเป็นรสที่ชอบ
อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความบางตอน จากการสนทนาธรรมในวันนั้น มาฝากให้ทุกๆ ท่าน ได้พิจารณาเช่นเคย ดังนี้ครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น "จิต" ขณะนี้ก็มี เกิด ดับ แต่ยังไม่รู้จัก "แต่ละจิต" เลย ได้แต่ฟังแต่เรื่องของจิต ทั้งนั้นเลย "จิตเห็น" ขณะนี้แม้มี แต่ว่า ยังไม่รู้จัก "ลักษณะ" ที่เป็น "ธาตุรู้" ที่เกิดขึ้น "เห็น" เฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น กว่าจะเป็นอย่างนี้ได้ เพราะว่าสภาพธรรมะ ต้องตรงตามความเป็นจริง ค่อยๆ พิจารณา ค่อยๆ เข้าใจ การเข้าใจธรรมะ จะค่อยๆ ละ ความไม่รู้ ความสงสัย แต่นานมาก กว่าจะหมดไปได้ เพราะเหตุว่า เราไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏ มานานเท่าไหร่? การที่จะค่อยๆ ละ ความไม่รู้ไป ก็ต้องตามที่สมควร ว่าสะสมมานานมาก จะให้หมดไปทันที เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
แต่ "เริ่มรู้ความต่าง" ว่า ก่อนนี้ไม่เคยเข้าใจ ไม่เคยสนใจ ไม่คิด เรื่องจิตด้วยซ้ำไป ตั้งแต่เช้ามา ใคร "คิด" เรื่องจิตบ้าง? ทั้งๆ ที่มีจิต ถ้าไม่มีจิต ก็ไม่มีอะไรสักอย่าง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่มีใครคิดถึงจิต
ด้วยเหตุนี้ "จิต" เกิดขึ้น เป็น "ธาตุรู้" ถ้าไม่มีจิต อะไรก็ไม่ปรากฏ แต่ "จิต" เกิดดับ เร็วมาก จึงไม่รู้ตามความเป็นจริง ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ สะสม ความเข้าใจไป ทีละเล็ก ทีละน้อย เพราะเหตุว่า เรามักจะคิดถึงเรื่องอื่น แต่ ลืมคิดถึง "จิต" เดี๋ยวนี้!!! ถูกต้องไหม? กำลังฟังอยู่เดี๋ยวนี้ ก็ลืมคิดถึงจิตเดี๋ยวนี้!!!
อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับ แล้วการที่จะมีโอกาสได้ศึกษาประเภทต่างๆ ของจิต ที่พระผู้มีพระภาคฯทรงแสดง จะมีประโยชน์อย่างไรบ้างครับ ในเมื่อสิ่งนั้น ก็ดูเหมือนจะไม่ปรากฏเลย
ท่านอาจารย์ ค่ะ เมื่อกี้นี้ เราศึกษาประเภทของจิตหรือเปล่า?
อ.วิชัย ก็ศึกษาด้วยครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เท่าที่สามารถจะเข้าใจได้ จนกระทั่ง สามารถที่จะเริ่มได้ยิน เรื่องของจิด เพิ่มขึ้น เพื่ออะไร? เพื่อ เข้าใจถูก ว่าไม่ใช่เรา ประโยชน์อย่างยิ่ง คือ ให้มีความเข้าใจ ที่มั่นคงขึ้น ว่า "ไม่ใช่เรา" เมื่อรู้ละเอียดขึ้น ก็จะรู้ว่า "ไม่ใช่เรา"
อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับ ก็เป็นความละเอียดครับ ที่กล่าวถึงธรรมะที่เกิดร่วมกับจิต เพราะเหตุว่า แม้จิตเองก็รู้ได้ยาก แต่ว่า จิต มีสัมปยุตตธรรม ธรรมะที่ประกอบกับจิต ปรุงแต่งจิต ขอความกรุณาท่านอาจารย์ ตรงนี้ด้วยครับ ธรรมะที่เป็นไปพร้อมกับจิต เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต ครับ
ท่านอาจารย์ ถ้ากล่าวถึง "จิต" ซึ่งเป็นเพียง "ธาตุรู้" รู้แจ้งในสิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้ามีเพียงเท่านั้น เป็นความจริงหรือเปล่า? เห็นไหม? การฟังธรรมะ สามารถพิจารณา ไตร่ตรอง เป็นความเข้าใจของตนเองได้ เช่น คำถามที่ว่า ถ้ามีแต่เฉพาะจิต ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธาน มีการรู้แจ้ง สิ่งที่กำลังปรากฏ โดยไม่มีสภาพธรรมะอื่นเลยในชีวิตประจำวัน เป็นอย่างนั้น หรือเปล่า? ไม่ใช่ ทุกคน มีเห็น แล้วก็มี "ชอบ" ในสิ่งที่เห็นด้วย หรือ บางครั้ง เห็น แล้วก็ "ไม่ชอบ" ในสิ่งที่เห็น
เพราะฉะนั้น ต้องไม่ลืม การศึกษาธรรมะ ต้องละเอียด แล้วก็ เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย มีสภาพธรรมะ ๒ อย่าง ซึ่งเป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ อาศัยกันและกันเกิดขึ้น และ เมื่อเป็นธาตุรู้ ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ ทั้งสองอย่าง เกิดร่วมกัน เกิดพร้อมกัน รู้อย่างเดียวกัน แล้วก็ดับไปด้วย แต่ทั้ง ๒ อย่างนี้ก็ต่างกัน เช่น "จิต" ไม่ว่าเมื่อไหร่ ขณะไหน ที่ไหน ทั้งสิ้น จะไม่ทำหน้าที่อื่นใดเลย นอกจาก เป็นธาตุที่เกิดขึ้น "รู้" สิ่งที่กำลังปรากฏ แต่วันหนึ่งๆ ไม่ได้มีแต่จิต ที่กำลังรู้ว่า ขณะนี้ มีสิ่งที่ปรากฏทางตาอย่างนี้ กำลังพูดถึง สิ่งที่ดูเหมือนลึกลับมาก "มี" ก็ไม่รู้ว่า "เป็นจิต"
ขณะนี้ กำลังมีสิ่งใดปรากฏ เพราะมี "ธาตุรู้ทางตา" เกิดขึ้น "เห็น" กำลังเห็นอย่างนี้เลย!!! ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนอีก แต่ "เริ่ม" ที่จะ "เข้าใจ" ว่าขณะที่ "เห็น" คนตาบอด ไม่สามารถจะเห็นได้ เพราะว่า ไม่มี "รูปพิเศษ" ซึ่งสามารถ "กระทบ" กับสิ่งที่กำลังปรากฏ ทั้งตาและรูปที่กระทบกัน ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่ธาตุรู้ แต่เป็นที่อาศัย ทำให้ธาตุรู้ เกิดขึ้น "เห็น" เดี๋ยวนี้ ค่ะ !!! แล้วก็ ดับไป
เห็นแล้ว "ชอบ" เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า? หรือว่า เห็นแล้วก็ไม่มีเลย "ชอบ" ก็ไม่มี "ไม่ชอบ" ก็ไม่มี "ดี" ก็ไม่มี "ชั่ว" ก็ไม่มี นั่นไม่ใช่ความจริง แต่ เห็นแล้ว บางครั้งก็ "พอใจ" บางครั้งก็ "ไม่พอใจ" เพราะฉะนั้น ลักษณะอื่นๆ นอกจากธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธาน ขณะนั้น เป็น "เจตสิก" ภาษาบาลี ก็ต้องออกเสียง "เจ-ตะ-สิก-กะ" หมายความถึง นามธาตุ ธาตุรู้ ซึ่งอาศัยจิตเกิดขึ้น เกิดที่จิต เกิดในจิต จะกล่าวว่าอย่างไรก็ได้ แยกกันไม่ได้เลย เกิดพร้อมกัน และ สภาพธรรมะตามความเป็นจริง ถ้าไม่ฟัง ไม่รู้เลย เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? แต่ต้องมี "ปัจจัย" ที่ทำให้จิต หรือ สภาพธรรมะที่เกิดขึ้นนั้น เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น !!!
เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดงความจริงว่า ขณะที่มีจิตเกิดขึ้น อย่างน้อยที่สุด จะมีเจตสิกเกิดขึ้นกับจิตนั้น ๗ ประเภท จะใช้คำว่า "ดวง" ก็ได้ ขณะนี้!!! เลย ใครรู้??? ถ้าไม่ฟัง!!! มี "ผัสสเจตสิก" เจตสิกหนึ่ง ซึ่งทำกิจ "กระทบอารมณ์" ถ้าไม่มีผัสสเจตสิก "จิต" เกิดไม่ได้!!! เพราะฉะนั้น จิต ต้องอาศัย เจตสิก เจตสิก ก็ต้องอาศัย จิต แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่เรามี เหมือนยั่งยืน เป็นคน เกิดมา เจริญเติบโต มีเรื่องราวต่างๆ มากมาย ในชีวิต แล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็จากโลกนี้ไป แท้ที่จริง ก็คือ "จิตแต่ละหนึ่งขณะ" ซึ่งเกิดดับ สืบต่อ เร็วมาก หลายๆ ประเภท สืบต่อกัน
เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่า ที่ว่า "เป็นเรา" แล้วได้ยินคำว่า "จิต" ก็คือว่า ถ้า "ไม่มีจิต" ก็ "ไม่มีเรา" แต่ เข้าใจผิด คิดว่า "จิต" เป็น "เรา" เช่น ขณะที่ "กำลังเห็น" เดี๋ยวนี้ เพราะ "จิต" เกิดดับ เร็วมาก ก็เข้าใจว่าจิตเป็นเรา ที่กล่าวซ้ำไป ซ้ำมา ก็เพราะเหตุว่า "จิต" เป็นสิ่งที่รู้ไม่ง่าย แม้ว่ามี ฟังเท่าไหร่ ก็ลืม แม้แต่ขณะนี้ ฟังแล้ว "เห็น" เป็นอะไร? "เป็นเรา" ยังไม่เป็น "จิต" ยังไม่เป็น "เจตสิก"
เพราะฉะนั้น จึงต้องฟังบ่อยๆ ให้รู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ทุกขณะ คือ จิต และ เจตสิก ซึ่งเกิดขึ้น รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ได้ยินเสียงที่ปรากฏทางหู เดี๋ยว "เห็น" เดี๋ยว ได้ยิน , ได้กลิ่น , ลิ้มรส , รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส , คิดนึก ทุกวัน นอกจากนี้ มีอะไรหรือเปล่า? เมื่อวานมี "เห็น" วันนี้ก็ "เห็น" พรุ่งนี้ก็ "เห็น" อีก มี "ได้ยิน" วันนี้ พรุ่งนี้ก็ "ได้ยิน" อีก ไม่ใช่ขณะเดียวกัน เลย แล้วก็ มีเรื่องราวมากมาย จากสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เป็น "คนนั้น" เป็น "คนนี้" เป็น "สิ่งนั้น" เป็น "สิ่งนี้" โดยไม่รู้ความจริงเลย ว่า แค่ "เห็น" แล้วก็ หมดไป แล้วก็ "ไม่ใช่เรา" ด้วย ธาตุรู้ ที่เกิดขึ้นเห็น ก็ดับแล้ว
เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จริงๆ ก็โดยการฟังธรรมะ เข้าใจขึ้น เมื่อไหร่ "เริ่ม" เห็นพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า ทรงตรัสรู้ ว่า แม้ "จิตหนึ่งขณะ" สั้นมาก แต่ก็ต้องอาศัยปัจจัยมาก ถ้าอาศัยเจตสิก ก็ถึง ๗ ประเภท ที่จะทำให้สภาพของจิต เกิดขึ้น เป็นไป แต่ว่า ไม่ได้มีแต่เฉพาะ เห็น - ได้ยิน ยังมี ชอบ - ไม่ชอบ มีกุศล มีอกุศล มีกรรมต่างๆ มีผลของกรรมอื่นอีกด้วย ใช่ไหม? ก็แสดงให้เห็นว่า "ความไม่รู้" วันหนึ่งๆ มีมากแค่ไหน?
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะ จึงต้อง "อดทน" ขันติบารมี ถ้าไม่มีบารมี "ธรรมะ" ยาก ไม่ฟังดีกว่า แต่ลืม เพราะยาก จึงต้องเริ่มฟัง ถ้าไม่เริ่มฟัง เมื่อใหร่จะ "เข้าใจ" แม้เพียง "ขั้นการฟัง"
เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นคุณค่าของพระธรรม คุณค่าของปัญญา ที่ได้ทรงตรัสรู้และทรงแสดงธรรมะไว้ โดยประการทั้งปวง โดยสิ้นเชิง ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ที่มีจริง ในชีวิต สามารถที่จะเข้าใจในความเป็นจริงนั้นได้ ที่จะเข้าใจว่า เป็นธรรมะ แต่ละอย่าง นอกจาก "ความอดทน" เพราะรู้ว่า "ธรรมะยาก" ยังต้องเป็น "ผู้ตรง" และ "จริงใจ" กำลังฟังธรรมะเดี๋ยวนี้ "เพื่อ อะไร?" ถ้าไม่ตรง ไม่จริงใจ ก็จะไม่สามารถเข้าใจธรรมะได้ "ฟัง" เพราะ "รู้ว่า ไม่รู้" ใช่ไหม? และ ฟัง เพราะรู้ว่า ที่ไม่รู้ มีผู้ที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดงให้เข้าใจได้ จะฟังไหม? ถ้าไม่ฟัง ไม่มีโอกาสอีกเลยในชาตินี้ และ ในชาติต่อๆ ไป
แต่ถ้า "เริ่มฟัง" "ค่อยๆ รู้จัก" พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ สิ่งที่ได้ฟัง "แต่ละคำ" "วาจาสัจจะ" ทั้งหมด จะนำไปสู่ "ญาณสัจจะ" ความรู้จริงๆ จะนำไปสู่ "อริยสัจจะ" ตามที่ทุกคนหวังเหลือเกิน ไม่ทราบว่าหวังหรือเปล่า? ไม่มีกิเลส ดีไหม? บางคนโกรธ ไม่อยากโกรธ แต่ไม่รู้ว่า "ใคร?" ไม่อยากโกรธ "เรา" ไม่อยากโกรธ เพราะ ไม่เข้าใจว่า "โกรธ" เป็น "ธรรมะ" ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ที่มีจริงๆ "เป็นธรรมะ" ทั้งนั้น ดี หรือ ชั่ว ก็เป็นธรรมะ
เพราะฉะนั้น บางคนอาจจะคิดว่า เราชนะกิเลสแล้ว ใช่ไหม? อยากจะทำอย่างนั้น ก็ไม่ทำ วันนี้เก่งมาก งดเว้น ไม่ทำอย่างนั้น อย่างนี้ แต่ "ลืม" "ยังเป็นเรา" ไม่มีทางชนะ เพราะเหตุว่า พระธรรมที่ทรงแสดง แสดงให้รู้ว่า ชนะจริงๆ ต้องสามารถที่จะรู้ความจริง แล้วก็ละกิเลส ตามลำดับ (อันดับแรก) คือ "การละการยึดถือสภาพธรรมะ ว่าเป็นเรา" ทั้งหมดเลย ไม่เหลือเลย แล้วก็ เป็นสิ่งที่เป็นไปได้
ซึ่งคนในยุคของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมกันมาก มาจากไหน? รู้ได้อย่างไร? ธรรมะ ลึกซึ้งและแสนยาก "รู้ได้" เพราะ "ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ" "ค่อยๆ ละ" ความเป็น ตัวตน และ ความต้องการที่จะไม่มีกิเลส โดยไม่มีปัญญา นี่แหละ ละแน่นอน ใครคิดจะไม่มีกิเลส โดยไม่มีปัญญา เลิกคิดได้!!! เพราะคนนั้นไม่ได้ฟังพระธรรม
ถ้าฟังพระธรรม รู้ว่า ไม่ใช่เรา ที่จะไม่มีกิเลส แต่ เพราะปัญญา ความเห็นถูก ในสิ่งซึ่ง ไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ความรู้อย่างนั้น จะค่อยๆ ละ ความไม่รู้ จนกว่าจะหมด นี่คือ ผู้ที่นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็กล่าวว่า มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง แล้วก็มีพระอริยสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ไม่พึ่ง "คนอื่น" ไม่ฟัง "คนอื่น"
เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังแล้ว "เข้าใจ" ยากจริง ลึกซึ้งจริง แต่มีจริงๆ ให้พิจารณาว่า เป็นจริงอย่างนั้น หรือเปล่า? แล้วก็ ค่อยๆ มีความเห็นถูกต้องขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย
เพราะฉะนั้น จิต ก็มีหลายประเภท หลากหลาย แต่ก็ต้องฟัง ด้วยความอดทน ด้วยความจริงใจ และ ยังด้วย อธิษฐาน คือ ความมั่นคง อธิษฐาน ไม่ใช่ไปขอใคร แต่ "อธิษฐาน" หมายความถึง ความมั่นคง ความมั่นคง ที่จะเข้าใจธรรมะ ประเสริฐกว่าได้ลาภมหาศาลไหม?
ได้ลาภมหาศาล (แล้ว) ป่วยไข้ ลาภมหาศาล ทำอะไรได้? ลุกไม่ได้ รับประทานอาหารไม่ได้ นอนอยู่กับที่ ลาภมหาศาล มีประโยชน์อะไร?
แต่ว่า ลาภเหนืออื่นใดทั้งสิ้น ใช้คำว่า ลาภานุตริยะ ก็คือ การเข้าใจธรรมะ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งสามารถที่จะรู้ความจริง จนถึงการดับกิเลสได้ แต่ไม่ทราบว่า ที่ฟังนี่ คิดอะไร? ฟังทำไม? ฟังเพื่ออะไร? หรือว่า คิดจะดับกิเลสเร็วๆ หรือว่า เพียงขอให้ได้เข้าใจพระธรรม ซึ่งลึกซึ้ง จึงสามารถที่จะดับกิเลสได้
[เล่มที่ 36] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ 608
อนุตตริยสูตร
ก็ลาภานุตริยะเป็นอย่างไร? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมได้ลาภคือบุตรบ้าง ภรรยาบ้าง ทรัพย์บ้างหรือลาภมากบ้าง น้อยบ้าง หรือได้ศรัทธา ในสมณะหรือพราหมณ์ผู้เห็นผิด ผู้ปฏิบัติผิด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลาภนี้มีอยู่ เราไม่กล่าวว่า ไม่มี ก็แต่ว่าลาภนี้นั้นเป็นของเลว. . . ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมได้ศรัทธาในพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคต การได้นี้ยอดเยี่ยมกว่าการได้ทั้งหลาย ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความบริสุทธิ์ แห่งสัตว์ทั้งหลาย เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้มีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมได้ศรัทธาในพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคตนี้ เราเรียกว่า ลาภานุตริยะ.
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธา
ของสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. จังหวัดเชียงใหม่ ทุกท่าน
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขออนุโมทนาพี่วันชัย ภู่งาม ที่เก็บภาพ รายละเอียด ได้เป็นอย่างดี และ มีธรรมให้อ่านกัน ครับ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธา
ของสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. จังหวัดเชียงใหม่ ทุกท่าน
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ทุกๆ ท่าน
ขอบพระคุณลและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอกราบอนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งามด้วยค่ะ กล้องมีปัญหาพอดี ดีใจที่เห็นคุณวันชัยมาถ่ายภาพให้นะค่ะ ที่สำคัญคือ ช่วงถอดคำบรรยายสนทนาธรรมของท่านอาจารย์สุจินต์ ที่คุณวันชัยกรุณาเอื้อเฟื้อให้เหล่าสหายธรรมทุกท่านได้อ่านเพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้นอยู่เสมอ ขอขอบพระคุณอย่างยิ่งค่ะและขออนุโมทนาในกุศลจิตของสมาชิก มศพ.เชียงใหม่และทุกๆ ท่านด้วยค่ะ
ไพเราะและงดงามมากครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับพี่วันชัย ภู่งาม
เป็นพระธรรมที่ไพเราะอย่างยิ่ง งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด
เพราะทำให้เกิดความเข้าใจจริงๆ ครับ
ขอกราบนมัสการอย่างสูงสุดแด่พระรัตนตรัย
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างสูงยิ่ง
ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณอาวันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง
เป็นการจัดทำอย่างประณีต ละเอียดอ่อน วิจิตร บรรจง งดงาม ในทุกๆ ครั้ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ.