การไปที่สังเวชนียสถาน 4 ปิดอบายได้จริงหรือ
ผมได้ยินอยู่บ่อยครั้งว่า ไปสังเวชนียสถาน 4 จะทำให้ไม่ตกนรก ปิดอบายไปชาติหนึ่งเมื่อมีการพูดต่อๆ กัน คนก็เลยนิยมไปที่สังเวชนียสถาน 4 กันเป็นจำนวนมากและผู้ที่ไปก็จะเป็น ผู้ที่มีฐานะดี แล้วคนจนล่ะครับ คนจนก็ไม่มีโอกาสได้ไปก็ปิดอบายไม่ได้หรือ แค่มีเงินแล้วไปสังเวชนียสถาน 4 ก็ปิดอบายได้แล้ว ดูแล้วเหมือนไม่ยุติธรรมเลย
แต่ผมสังเกตบุคคลที่ไปที่สังเวชนียสถาน 4 แล้วพอกลับมาก็ยังประพฤติผิดศีลอยู่เหมือนเดิม แล้วอย่างนี้ จะปิดอบายได้หรือครับ แต่พอผมได้ศึกษาพระธรรมก็พอเข้าใจอยู่บ้างในเรื่องที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ก่อนปรินิพพานว่า ควรไปสังเวชนียสถาน 4 เพราะอะไร ผมขอความกรุณาให้ท่านอาจารย์หรือท่านวิทยากร ช่วยกรุณาให้ความกระจ่างเพิ่มขึ้นอีกนะครับ ผมจะได้นำไปเผยแพร่ให้ถูกต้องยิ่งขึ้น ด้วยความมั่นใจครับ
ขอขอบพระคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ก็ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เที่ยวจาริกไปยังเจดีย์ (สังเวชนียสถาน) มีจิตเลื่อมใสแล้ว จักทำกาละลง ชนเหล่านั้นทั้งหมดเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ฯ"
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ หน้าที่ 308
---------------------------------------------------------------------------------
สังเวชนียสถาน เป็นสถานที่อันบุคคลผู้มีศรัทธาพึงไป เป็นสถานที่มีจริงๆ ซึ่งมีในโลกมนุษย์เท่านั้น ไม่มีในสวรค์และไม่มีในพรหมโลก สถานที่ดังกล่าวนั้น คือ สถานที่พระโพธิสัตว์ประสูติ ซึ่งจะเป็นการเกิดครั้งสุดท้าย ไม่มีการเกิดในภพใหม่อีกต่อไป สถานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ สถานที่ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเป็นครั้งแรก และสถานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน
สภาพธรรม เป็นสิ่งที่ตรง เพราะเป็นสัจจะ กุศลกรรม ย่อมให้ผลที่ดี ไม่เปลี่ยนแปลง มีการเกิดในสุคติโลกสวรรค์ เป็นต้น อกุศลกรรม ย่อมให้ผลที่ไม่ดี ไม่เปลี่ยนแปลง มีการเกิดในอบายภูมิ เป็นต้น
จากข้อความ ที่พระองค์ตรัสไว้ในการเที่ยวจาริกไปในสังเวชนียสถาน มีจิตเลื่อมใส นั่นก็คือ มีศรัทธา ที่เป็นสภาพธรรมฝ่ายดี เกิดกับจิตที่เป็นกุศล ดังนั้น ขณะนั้นเป็นกุศลที่ไปไหว้ ไปน้อมระลึกถึงพระคุณที่สังเวชนียสถาน เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นกุศลจิต และมีการกระทำทางกาย วาจา ที่มีจิตเลื่อมใสในสังเวชนียสถาน ก็เป็นกุศลกรรม เมื่อกุศลกรรม คือ การมีจิตเลื่อมใสในสังเวชนียสถานให้ผล ก็ทำให้เกิดในสุคติโลกสวรรค์ นี่คือ ความเป็นธรรมดา แน่นอนที่ไม่เปลี่ยนแปลงว่า ธรรมใดเป็นกุศล เมื่อกุศลให้ผลก็ต้องไปเกิดในภพภูมิที่ดี แต่ธรรมเป็นเรื่องละเอียด เพราะการให้ผลของกรรม มีกาลเวลา และมีแตกต่างกันไป กรรมบางอย่างให้ผลในชาตินี้ กรรมบางอย่างให้ผลในชาติหน้า กรรมบางอย่างให้ผลในชาติที่ 2 และชาติถัดๆ ไป และกรรมบางอย่าง ไม่มีโอกาสให้ผลก็มีครับ ดังนั้น จึงไม่ได้หมายความว่า เมื่อไปกราบไหว้สังเวชนียสถานแล้ว ในชาตินี้ ชาติต่อไป ก็จะไปเกิดในสวรรค์ทุกๆ คน ธรรมเป็นอนัตตา แล้วแต่ครับว่า กรรมใดจะให้ผล อาจเป็นกรรมชั่วที่มีกำลังให้ผลก่อนก็ได้ครับ เช่น เมื่อไหว้สังเวชนียสถานแล้ว เวลาต่อมา มีการทำอนันตริยกรรม มีการฆ่า บิดา มารดา กรรมที่เป็นอนันตริยกรรมย่อมให้ผลก่อน คือ ในชาติต่อไปทันที ไปเกิดในนรก ทันทีเพราะกรรมนั้น แม้จะทำกรรมดีมากมายอย่างไรก็ตามครับ
นี่แสดงถึงการให้ผลของกรรม มีความละเอียด ซับซ้อนเพราะสภาพธรรม เกิดจากเหตุปัจจัยหลายๆ ประการครับ จึงไม่จำเป็นครับว่าเมื่อไปไหว้สังเวชนียสถานแล้ว ชาติต่อไปจะไปเกิดบนสวรรค์ แต่พระพุทธองค์ทรงแสดงเหตุตามความเป็นจริงไว้ว่า ผู้ที่มีจิตเลื่อมใส ไปสังเวชนียสถาน ทำกุศลกรรมไว้ ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เมื่อกรรมนั้นให้ผล เมื่อแตกกายตายไป ซึ่งอาจจะเป็นชาตินี้ หรือไม่ใช่ หรือ ชาติต่อไป แต่ถ้ากรรมดีให้ผลย่อมให้ผลดีแน่นอน พระพุทธองค์จึงทรงแสดงตามเหตุผล ที่ตรงตามความเป็นจริงครับ ดังเช่นสหายธรรมท่านหนึ่ง ถามถึงเรื่องนี้ที่ว่า
ดิฉันได้มีโอกาสเรียนถามท่านอาจารย์สุจินต์ในเรื่องนี้ว่า "จริงหรือไม่ ที่มีผู้กล่าวว่า หากผู้ใด ได้มากราบนมัสการสังเวชนียสถานครบทั้ง ๔ ที่จะมีสุคติเป็นที่ไป"
ท่านอาจารย์สุจินต์กล่าวตอบว่า " กุศล นำไปสู่สุคติค่ะ"
ส่วนอานิสงส์การเทศน์มหาชาติ
ควรเข้าใจครับว่า เหตุที่ดีมี คือ กุศลจิต และกุศลรรม เหตุที่ไม่ดีก็มี คือ อกุศลจิตและอกุศลกรรม กุศลกรรมเมื่อกระทำแล้ว เมื่อให้ผลก็ย่อมได้รับสิ่งที่ดี เช่น เกิดในภพภูมิที่ดี ได้พบสิ่งที่ดีๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย กุศลกรรมแบ่งเป็นหลายประเภท เช่น บุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ แบ่งเป็นใหญ่ๆ คือ ทาน ศีล ภาวนา ซึ่งเรื่องการฟังพระธรรมก็เป็นกุศลประการหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการครับ
ซึ่งจากคำที่กล่าวมานั้นที่ว่า เมื่อฟังเทศน์มหาชาติจบวันเดียวครบ 13 กัณฑ์ จะได้อานิสงส์ประการต่างๆ นั้น เรียนว่า ไม่เป็นไปตามอย่างนั้น อย่างที่เข้าใจกันครับ เช่น ประเด็นการจะได้พบพระศรีอริยเมตไตรย์ ไม่มีใครทราบนอกจากพระพุทธเจ้าเท่านั้นว่าเพราะผลของกรรมนี้จะทำให้เกิดเป็นบุคคลนี้ และพยากรณ์ว่าจะได้เกิดในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปเพราะกรรมนี้ กรรมจึงไม่จำเพาะเจาะจงไปครับว่า หากฟังเทศน์มหาชาติครบวันเดียว จะได้พบพระศรีอริยเมตไตรย์ ไม่ใช่ครับ เพราะในความเป็นจริง ก่อนจะถึงสมัยนั้นเราไม่รู้เลยว่ากรรมใดจะให้ผลก่อน และอาจจะทำอนันตริยกรรมก่อนก็ได้ในชาติต่อๆ ไป เพราะยังเป็นปุถุชน เมื่อทำอนันตริยกรรมแล้วก็ต้องตกนรกตลอด
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จากที่ได้ฟังพระธรรม ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้กล่าวถึงความหมายของสังเวชนียสถาน ไว้ว่า "สถานที่ปัญญาเกิดขึ้นระลึกรู้สภาพที่ควรแก่การสลด คือ ไม่ใช่ควรแก่การเพลิดเพลิน แต่จิตควรสลด เพราะรู้ความจริงว่า ความจริงเป็นอย่างนี้ ณ สถานที่นั้นๆ "
เมื่อกุศลจิตเกิด ได้กราบมนัสการ ก็เป็นการสะสมเหตุที่ดีไว้แล้ว ที่น่าพิจารณา คือ เรื่องกรรม และ การให้ผลของกรรม เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เราไม่สามารถบังคับบัญชาได้ว่าจะให้กรรมนั้น กรรมนี้ ให้ผล เพราะต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น และในแต่ละภพในแต่ละชาติ แต่ละคนก็ได้กระทำกรรมมามาก มีทั้งที่เป็นกุศลกรรม และอกุศลกรรม ไม่สามารถจะรู้ได้ว่า กรรมใด จะให้ผลเมื่อใด เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ความเป็นผู้ไม่ประมาทเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ประมาทในการเจริญกุศล และสะสมปัญญาในชีวิตประจำวัน แม้การไปนมัสการสังเวชนียสถาน ไม่ได้ไปเพื่อจุดประสงค์อื่น แต่ไปเพื่อน้อมระลึกถึงพระรัตนตรัย ขณะที่กุศลจิตเกิด เป็นประโยชน์สำหรับตนเองอย่างแท้จริง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
การพิจารณาข้อความต่างๆ หากเป็นผู้ไม่ละเอียด ก็จะเผิน และอาจผิดพลาดได้ แต่อะไรก็ตามเหตุต้องสมควรแก่ผลค่ะ กราบอนุโมทนาสาธุที่ที่อาจารย์ทั้งสอง กรุณาตอบคำถามนี้