ดวงตาเห็นธรรม
๑. เมื่อท่านโกณฑัญญะเกิดดวงตาเห็นธรรม ว่า "สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา" และบรรลุเป็นพระโสดาบันนั้น ดวงตาเห็นธรรมนี้เป็น ธรรมจักษุ ไม่ใช่ญาณจักษุ ใช่หรือไม่ครับ
๒. การบรรลุโสดาบันของพระอริยะแต่ละท่าน ขณะนั้นเกิดดวงตาเห็นธรรมว่า "สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา" เช่นเดียวกับท่านพระอัญญาโกณฑัญญะหรือไม่ครับ
๓. เมื่อพระโสดาบันบรรลุธรรมเป็นลำดับจนถึงพระอรหันต์นั้น การบรรลุในแต่ละลำดับ ยังเรียกเป็น "ดวงตาเห็นธรรม" อยู่หรือไม่ครับ (โดยเป็น ญาณจักษุ)
๔. ในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ กล่าวว่า จักษุ มี ๒ อย่าง คือ มังสจักษุ ๑ ปัญญาจักษุ ๑. ในจักษุทั้ง ๒ นั้น ปัญญาจักษุมี ๕ อย่าง คือ พุทธจักษุ ๑, สมันตจักษุ ๑, ญาณจักษุ ๑, ทิพยจักษุ ๑, ธรรมจักษุ ๑ แต่ใน พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 3 กล่าวว่า จักษุ ๒ คือ ญาณจักษุ ๑ มังสจักษุ ๑. ในจักษุ ๒ อย่างนั้น ญาณจักษุมี ๕ อย่างคือ พุทธจักษุ ธรรมจักษุ สมันตจักษุ ทิพยจักษุ ปัญญาจักษุ
...ที่ไม่ตรงกันนี้ เป็นเพราะเหตุใดครับ
๕. ปัญญาขั้นฟัง ขั้นเข้าใจ ขั้นประจักษ์แจ้งของปุถุชน ไม่เป็นจักษุประเภทใดเลยใช่หรือไม่ครับ
ขอขอบพระคุณ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑- หน้าที่ ๒๑๔
คำนี้ว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราเมื่อตรวจดูสัตวโลก ได้เห็น
แล้วแลด้วยพุทธจักษุ ดังนี้ ชื่อว่า พุทธจักษุ.
คำนี้ว่า สัพพัญญุตญาณ เรียกว่า สมันตจักษุ ดังนี้ ชื่อว่า
สมันตจักษุ.
คำนี้ว่า ดวงตาเห็นธรรม เกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแล้ว ดังนี้
ชื่อว่า ญาณจักษุ.
คำนี้ว่า ดูก่อนภิกษุ เราได้เห็นแล้วแล ด้วยทิพยจักษุอัน
บริสุทธิ์๔ ดังนี้ ชื่อว่า ทิพยจักษุ.
มรรคญาณเบื้องต่ำ ๓ นี้มาในคำว่า ธรรมจักษุอันปราศจากธุลี
ไม่มีมลทิน เกิดขึ้นแล้ว ดังนี้ ชื่อว่า ธรรมจักษุ.
----------------------------------------------
-ประโยชน์ คือความเข้าใจ ดวงตาเห็นธรรม เป็นผลของการอบรมเจริญปัญญา อบรมเจริญมรรคมีองค์ ๘ จนถึงความสมบูรณ์พร้อม ทำให้ผู้นั้นได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ประจักษ์แจ้งพระนิพพาน ดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น ดวงตาเห็นธรรม ในบางแห่งหมายถึง โสดาปัตติมรรค บางแห่งหมายถึงมรรคเบื้องต่ำ ๓ และบางแห่งก็ทรงหมายถึงมรรคทั้ง ๔ คือ โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตตมรรค และหมายรวมถึงผลจิต ด้วย
ธรรมจักษุ ก็คือ ปัญญาขั้นที่เป็นโลกุตตระ เป็นมรรคญาณ นั่นเอง ไม่พ้นจากปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นปัญญาที่เข้าใจความจริง จนสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ได้
-การเป็นพระอริยบุคคลทุกระดับขั้น เป็นได้ด้วยปัญญาที่เข้าใจถูกเห็นถูกในเรื่องของรูปธรรมนามธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ จนสามารถประจักษ์แจ้งความจริง และสามารถประจักษ์แจ้งพระนิพพาน ตามระดับขั้นของปัญญา ตามลำดับมรรคจริงๆ อย่างที่เรียนแล้วว่า ธรรมจักษุ มุ่งหมายถึง มรรคญาณทั้ง ๔ เลย ขึ้นอยู่กับว่าในแต่ละที่นั้นจะมุ่งหมายถึง ขั้นใด และจะต้องเป็นเรื่องของปัญญาที่เข้าใจอย่างถูกต้อง นั่นเอง สำคัญ ที่ความเข้าใจ ซึ่งในขณะที่รู้แจ้งแทงตลอดนั้น ไม่มีคำ ไม่มีชื่อ มีแต่สภาพธรรมที่มีจริงๆ
-จริงๆ แล้ว ความหมายตรงกัน เพียงแต่ คำว่า ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกนั้น มีหลากหลายพยัญชนะทั้งปัญญา ญาณ วิชชา เป็นต้น ดังนั้น ญาณจักขุ กับ ปัญญาจักขุ จึงมีความหมายที่หมายถึงตาคือปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก ที่เป็นปัญญาขั้นสูง เป็นปัญญาที่เห็นแจ้งในสัจจะ ทั้ง ๔
-ปุถุชน ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรม ก็สามารถฟังพระธรรม ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อยจนกว่าปัญญาจะถึงความสมบูรณ์พร้อมจริงๆ แม้ว่าในขณะนี้ยังไม่มีปัญญาในขั้นที่ประจักษ์แจ้งความจริง ที่เป็นดวงตาคือปัญญา แต่เมื่อไม่ละทิ้งเหตุที่สำคัญ คือ การฟังในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงๆ สะสมไว้ ในที่สุดก็จะถึงความถึงพร้อมด้วยดวงตาคือปัญญา ที่เป็นการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ในที่สุด ซึ่งจะต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานในการอบรมสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ทรงถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นบุคคลผู้เลิศผู้ประเสริฐที่สุดในโลก พระองค์ทรงแสดงหนทางเพื่อการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ มีความเห็นถูก เป็นต้น จึงมีพระอริยสงฆ์สาวก ผู้บรรลุอริยสัจจธรรมดับกิเลสได้เป็นจำนวนมาก เริ่มตั้งแต่ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นต้นมา สืบต่อมาจนตราบเท่าที่มีผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงตรัสรู้ และได้ทรงแสดงพระธรรมไว้โดยละเอียดตลอด ๔๕ พรรษา
พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้แล้วนั้น สุขุม ละเอียด ลึกซึ้ง เพราะทรงแสดงลักษณะของสภาพธรรมทั้งหลายที่ทรงตรัสรู้ โดยทรงประจักษ์แจ้งตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นๆ ซึ่งถ้าไม่ได้ฟัง ไม่ได้ศึกษาพระธรรมตามที่ทรงแสดงไว้โดยละเอียด ให้เข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็ย่อมจะไม่สามารถที่มีปัญญาเจริญขึ้นจนกระทั่งสามารถมีดวงตาเห็นธรรมเกิดขึ้นได้เลย แต่ถ้าอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็สามารถมีดวงตาเห็นธรรมรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ได้
เพราะฉะนั้น จึงแสดงให้เห็นว่า การจะไปถึงตรงนั้นได้นั้น ต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในชีวิตประจำวัน ค่อยๆ สะสมปัญญาไปตามลำดับ จะขาดการศึกษาพระธรรมไม่ได้เลยทีเดียว ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ปกติในชีวิตประจำวัน ขณะที่ตาก็กำลังเห็น คน เห็นสัตว์ เห็นสิ่งต่างๆ มากมายที่เป็นโลก เป็นสิ่งต่างๆ นี่คือการเห็นปกติของปุถุชนผู้มีความไม่รู้ มีตาก็เหมือนไม่มี เพราะมืดบอด มืดบอดด้วยอะไร มืดบอดด้วยความไม่รู้ครับ ดังนั้นดวงตาของสัตว์โลก จึงเต็มไปด้วยธุลีคือกิเลส มีความไม่รู้ จึงไม่เห็นตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นการเห็นตามความเป็นจริง คือไม่ใช่เห็นด้วยตาเนื้อ แต่คือด้วยจักษุด้วยตาที่เป็นปัญญา ปัญญาเท่านั้นที่จะเห็นตามความเป็นจริง ดังนั้นดวงตาเห็นธรรม ที่เป็นธรรมจักษุของท่านพระอัญญาโกณฑัญญะเมื่อได้ฟังพระธรรมคือปฐมเทศนาที่ป่าอิสิปตนฤคทายวัน ดวงตาเห็นธรรมเกิดขึ้น คือ ปัญญาที่ประจักษ์พระนิพพาน และเห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริงและเห็นถึงสภาพธรรมที่ประจักษ์ด้วยดวงตาคือปัญญา เห็นถึงความไม่เที่ยงของสภาพธรรมว่า สิ่งใดเกิดขึ้น ก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา และประจักษ์ตัวสภาพธรรมที่เกิดดับด้วย และที่สำคัญ ประจักษ์พระนิพพานนั่นเองครับ ถึงความเป็นพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคล (ตามลำดับ) เป็นผู้มีตา คือปัญญาเกิดขึ้นแล้วครับ
[เล่มที่ 31] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒- หน้าที่ ๔๒๒
[๑๖๗๑] ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ ดวงตาเห็นธรรม อันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่านโกณฑัญญะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล ล้วนมีความดับเป็นธรรมดา
ขอกราบนมัสการอย่างสูงสุดแด่พระรัตนตรัย
กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาอาจารย์ทั้งสองท่านเป็นอย่างยิ่ง
ที่ให้ความเข้าใจพระธรรมที่ถูกต้อง นำมาซึ่งความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย
ซึ่งเป็นที่พึ่งให้เกิด "ดวงตา" คือ "ปัญญา" จริงๆ ครับ.
ขอบพระคุณครับ
พิจารณาจากการบรรลุเป็นพระโสดาบันของท่านอุปติสสะ (พระสารีบุตร) ด้วยแล้ว ทำให้เข้าใจยิ่งขึ้นว่าดวงตาเห็นธรรมที่พระโสดาบันมีนั้นเป็นไปในลักษณะเดียวกัน
ท่านพระอัสสชิ ได้กล่าวบทธรรมให้ท่านอุปติสสะ ฟังดังนี้ที่ว่า
"ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับของธรรมเหล่านี้ พระมหาสมณะทรงสั่งสอนอย่างนี้."
เมื่อกล่าวจบ ท่านอุปติสสะบรรลุเป็นพระโสดาบัน