เจตนาไม่ใช่เจตสิกในอริยมรรคมีองค์ 8
เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน
"เจตนาไม่ใช่เจตสิกในอริยมรรคมีองค์ 8" พจนาท่านอาจารย์ในชั่วโมงปฏิบัติธรรม ขอความอนุเคราะห์อาจารย์ช่วยกรุณาอธิบายเจตสิกในอริยมรรคมีองค์ 8 ด้วยครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอเชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ได้ที่นี่ ครับ
ประการที่ ๑ เมื่อบุคคลพักอยู่ด้วยกำลังของกิเลส ชื่อว่า จม เมื่อบุคคลเพียรด้วยกำลังของอภิสังขาร ชื่อว่า ลอย
อยู่ในประการไหนคะ หรือว่าทั้ง ๒ ประการ พักอยู่ด้วยกิเลส ชื่อว่า จม สนุกสนานกันก่อน เอาไว้แก่เฒ่า หรือว่านาทีสุดท้ายที่จะจากโลกนี้ไปจะทำอย่างไร คอยจนกระทั่งถึงวาระนั้น พักอยู่ด้วยกำลังของกิเลส ชื่อว่า จม ส่วนอีกบุคคลหนึ่งเพียรอยู่ด้วยกำลังของอภิสังขาร ชื่อว่า ลอย อภิสังขาร ได้แก่ เจตนาเจตสิกซึ่งไม่ใช่มรรคมีองค์ ๘ ไม่ใช่องค์ของมรรคหนึ่งมรรคใดเลยในมรรคมีองค์ ๘
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ไม่ใช่เรื่องของความตั้งใจ จงใจ ขวนขวาย ต้องการพากเพียร แต่เป็นเรื่องที่จะต้อง สติเกิด เมื่อเข้าใจลักษณะของสติ และก็รู้ว่า สตินั้นระลึกรู้อะไร เพื่ออะไร ถ้ายังไม่รู้ว่า สติจะต้องรู้อะไร ปัญญาจะต้องรู้อะไร และก็ไปพากเพียรทำอะไร ขณะนั้นก็จะเห็นลักษณะของอภิสังขาร ซึ่งเมื่อบุคคลเพียร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตยกคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
เพิ่มเติม ครับ (จาก แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๑๓๐๓)
"มรรคคือทาง เพราะฉะนั้น ต้องทราบว่าสภาพธรรมที่เป็นทาง ได้แก่ ปรมัตถธรรมอะไรบ้าง เจตสิกทั้งหมดมี ๕๒ ประเภท แต่สำหรับเจตสิกซึ่งเป็นองค์มรรคมีเพียง ๑๒ คือ ปัญญาเจตสิก ๑ วิตักกเจตสิก ๑ สัมมาวาจาเจตสิก ๑ สัมมากัมมันตเจตสิก ๑ สัมมาอาชีวเจตสิก ๑ วิริยเจตสิก ๑ สติเจตสิก ๑ สมาธิเจตสิก ๑ ที่เป็นสัมมาคือเป็นฝ่ายกุศลมี ๘ ตามที่ท่านผู้ฟังได้ยินบ่อยๆ ว่ามรรคมีองค์ ๘ สำหรับทางฝ่ายอกุศลมี ๔ คือ มิจฉาทิฏฐิ ๑ มิจฉาสังกัปปะ ซึ่งได้แก่วิตักกะเจตสิก ๑ มิจฉาวายามะ ก็ได้แก่ วิริยเจตสิก ๑ และมิจฉาสมาธิ ๑
ไม่มีเจตนาเจตสิกเลย เจตนาเจตสิกไม่ใช่มรรค แต่เจตนาเจตสิกเป็นกรรมปัจจัย คือ เป็นสภาพธรรมที่ขวนขวายที่กระทำกิจให้สำเร็จ เพราะฉะนั้น เจตนานั่นเองเป็นสภาพที่กระทำ คือเป็นตัวกระทำกิจต่างๆ แต่ว่าการที่เจตนาจะเกิดขึ้นกระทำกิจให้สำเร็จลงไปแต่ละครั้ง ทางกายหรือทางวาจา หรือทางใจนั้นต้องอาศัยมรรค ต้องเกิดกับมรรค เช่น ปัญญาเจตสิกเกิดขึ้น ก็จะมีเจตนาที่เป็นกุศลที่กระทำกรรมต่างๆ โดยปัญญานั่นเองเป็นทางให้กรรมนั้นเกิดขึ้น สำหรับคนที่ไม่มีปัญญาหรือว่าไม่ได้สะสมอบรมความสนใจในการที่จะเจริญปัญญา แม้ว่ากุศลจิตจะเกิดก็ไม่มีทางที่จะทำให้กุศลนั้นเป็นไปในทางปัญญาได้ เพราะฉะนั้น ในขณะที่ปัญญาเกิดขึ้นจะเป็นทางให้กรรมที่เป็นกายกรรมบ้าง วจีกรรมบ้าง มโนกรรมบ้างเป็นกุศลเกิดขึ้นในทางของปัญญา เพราะเหตุว่าตัวปัญญาเป็นทาง แต่เจตนาเป็นผู้กระทำ ซึ่งการกระทำนั้นต้องแล้วแต่ทาง เหมือนการจะไปสู่ที่หนึ่งที่ใด มีผู้ที่จะไปแต่ก็จะต้องมีหนทางที่จะไปด้วย ไม่ใช่มีแต่ผู้จะไปโดยไม่มีหนทางที่จะไป เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไปนั้นคือกรรม แต่หนทางที่ไปคือมรรค ที่จะให้กรรมนั้นสำเร็จเป็นฝ่ายกุศลหรือฝ่ายอกุศล เพราะฉะนั้น สำหรับเจตสิกที่เป็นสัมมามรรคมี ๘ ได้แก่ ปัญญาเจตสิก วิตักกเจตสิก สัมมาวาจาเจตสิก สัมมากัมมันตเจตสิก สัมมาอาชีวเจตสิก วิริยเจตสิก สติเจตสิก และสมาธิหรือเอกัคคตาเจตสิก ซึ่งไม่มีเจตนาเจตสิกสำหรับมรรคปัจจัย"
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบนมัสการอย่างสูงสุดแด่พระรัตนตรัย
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างสูงยิ่ง
กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาอาจารย์ทั้งสองท่านเป็นอย่างยิ่ง
ที่ให้ความเข้าใจพระธรรมที่มีค่าประเสริฐสุด ครับ.