ช่วยสั่งสอนด้วยค่ะ - ดิฉันเป็นผู้มีบาปมาก มีสติน้อย

 
kirin_kal
วันที่  9 ม.ค. 2550
หมายเลข  2621
อ่าน  1,028

ดิฉันได้ศึกษาโดยการฟังพระธรรม จากมูลนิธิมานานพอสมควร และทราบดีว่าพระธรรมที่ทางมูลนิธิ นำมาเผยแพร่เป็นพระธรรมอันประเสริฐ พระธรรมอันแท้จริง และนำไปปฏิบัติได้ แต่เนื่องจากดิฉันเป็นผู้มีบาปมาก มีสติน้อย ไม่สามารถระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้เลย เพราะปัจจุบันนี้ดิฉันมีความทุกข์เกี่ยวกับการทำงาน นั่นคือทำงานในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ และมีอกุศลจิตเกิดขึ้นกับเพื่อนร่วมงานเสมอ มีจิตเศร้าซึมทุกครั้งที่ก้าวเดินเข้าโรงงาน เหมือนกำลังเดินไปสู่นรก บางครั้งคิดถึงขนาดว่าทำไมคนเราต้องเกิดมา ทำงานในสิ่งที่ไร้สาระ หาแก่นสารไม่ได้เลย ถึงจะมีความสุขมันก็มีความสุขไม่แท้จริง เคยคิดที่ไม่อยากเกิดมาอีก แต่ไม่เคยคิดฆ่าตัวตายช่วยสั่งสอนด้วยค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 10 ม.ค. 2550

พระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นธรรมนำออกจากทุกข์ได้จริงผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมสูงสุดคือ การบรรลุเป็นพระอรหันต์ดับกิเลส และกองทุกข์ในวัฏฏะได้หมดสิ้น รองลงมาคือ ผู้บรรลุเป็นพระอนาคามีละสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ได้ เมื่อจุติจากโลกนี้แล้ว ไม่ต้องกลับมาเกิดในกามภูมิอีก ต่อมาคือผู้บรรลุเป็น พระโสดาบัน พระสกทาคา มีท่านปิดประตูอบายได้แล้ว ไม่มีการตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้ที่แน่นอนที่จะปรินิพพานในอนาคต ผู้ที่ศึกษาพระธรรม ด้วยความเคารพ เพื่อการอบรมปัญญา แม้ว่าในชาตินี้ยังไม่บรรลุย่อมสะสม เป็นอุปนิสัยเพื่อการรู้แจ้ง อริยสัจจธรรมในอนาคต ในชาติปัจจุบันนี้ผู้ที่ศึกษาพระธรรม ย่อมได้รับประโยชน์จากพระธรรมมากมาย ทำให้รู้สิ่งที่ควรกระทำทำให้รู้สิ่งที่ควรเว้นทำให้เข้าใจความจริงว่ามีโลกบัญญัติมีโลกปรมัตถ์ ทำให้กุศลธรรมเจริญยิ่งขึ้น ผู้ที่ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน จะทำให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข มีเมตตาต่อกันช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่เบียดเบียนซึ่งกันละกัน นี่คือประโยชน์ของพระธรรม ถ้าบุคคลประพฤติปฏิบัติตาม ย่อมมีผลในทางที่ดีและมีความสุขในโลกนี้ เมื่อจากโลกนี้ไปย่อมไปสู่สุคติ แต่คนส่วนมากที่มีความทุกข์กันทุกวันนี้ เพราะไม่ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน เพราะเป็นไปตามอำนาจของกิเลส ถูกกิเลสครอบงำ ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาอยู่บ้าน เดินทาง ทำงาน ก็มีแต่ความทุกข์ เพราะไม่ปฏิบัติตาม พระธรรมนั่นเอง มีพระธรรมส่วนหนึ่งที่แสดงเรื่องอานิสงส์ ของการเจริญเมตตาว่า ผู้ที่มีปกติอยู่ด้วยเมตตาย่อมตื่นเป็นสุข หลับก็เป็นสุขไม่มีความทุกข์ เพราะมีความเป็นเพื่อน มีความหวังดี มีความปรารถนาดีกับทุกคน มีเมตตาทั้งกาย วาจา และใจ มีชีวิตอยู่เพื่อบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม อบรมเจริญปัญญา ชีวิตย่อมมีความสุข ทำงานอย่างมีความสุข ไม่ต้องหวังว่าจะไปแก้ไขผู้อื่น ให้แก้ไขที่ใจเรา มีเหตุปัจจัยให้เราต้องทำงานแบบนี้เราก็ต้องทำต่อไป

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
pornchai.s
วันที่ 10 ม.ค. 2550

อนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
devout
วันที่ 10 ม.ค. 2550

คนเราหนีวิบากกรรมไม่พ้นหรอกนะคะ ถึงแม้จะเปลี่ยนงานหรือหลบหนีไปที่ อื่น วิบากกรรมก็ยังตามไปให้ผลจนได้ ตราบใดที่ท่านยังต้องเวียนเกิดเวียนตายอยู่ใน สังสารวัฏฏ์ นอกจากพระอรหันต์แล้วไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะวิบากได้เลย ควรมี ความมั่นคงในเรื่องกรรมและผลของกรรมนะคะ จะทำให้ท่านไม่คิดแค้นเคืองโกรธโทษ ผู้อื่น เพราะชีวิตส่วนหนึ่งนั้นเป็นการรับผลของกรรมและอีกส่วนหนึ่งเป็นการสะสม กรรมที่จะให้ผลต่อไปในอนาคต

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
kirin_kal
วันที่ 10 ม.ค. 2550

ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 10 ม.ค. 2550

สู้ต่อไปนะ ถ้าเรทำดีซะอย่าง การทำความดีไม่จำเป็นต้องหวังผลตอบแทน แต่ความดีย่อมตอบสนองเราเอง ไม่มีใครเลือกได้ ว่าจะเห็น ได้ยินอะไร เพราะเป็นธัมมะไม่ใช่เรา จึงเลือกไม่ได้ เมื่อกุศลให้ผลก็ย่อมเห็นสิ่งที่ดี ได้ยินสิ่งที่ดี แต่เมื่ออกุศลให้ผลย่อมได้เห็นสิ่งที่ไม่ดี ได้ยินสิ่งที่ไม่ดี เพราะอวิชชาเท่านั้น ที่ทำให้เราเป็นอย่างนี้ ดังนั้นขอให้ฟังธัมมะ นะครับ

อนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
supakorn
วันที่ 11 ม.ค. 2550
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
medulla
วันที่ 11 ม.ค. 2550

เป็นเหมือนกันนะคะ สมัยก่อนเรียนมหาวิทยาลัย เรียนเรื่องเงินๆ ทองๆ เรียนเรื่องการตลาดและการโฆษณา ปวดหัวมากเลยเพราะสอนแต่เรื่องของโลภะ จบออกมาก็ต้องคอยหมกมุ่นกับเรื่องของโลภะ หนักๆ เข้าไม่ได้ดั่งใจ โทสะก็เกิด กลายเป็นคนหงุดหงิด เครียด ซึมเศร้า ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมนี่คง หลงเตลิดไปกับวิธีแก้ทุกข์ที่ผิดๆ

ตอนนี้ทำงานแล้ว ก็เรียนเภสัชแผนไทยที่วัดโพธิ์ไปด้วย พบว่าทำงานยากกว่าเรียนเสียอีก ต้องขายของที่กระตุ้นโลภะของเขา ไหนจะต้องหงุดหงิดกับความเรื่องมากของคน บางทีเหมือนกับเอาเวลาหมกมุ่นกับเรื่องไร้สาระเยอะมาก วันๆ หาแก่นสารที่จะเป็นปัจจัยไปสู่นิพพาน แทบไม่ได้เลย เคยคิดว่าการทำมาหากินนี่มันเป็นความลำบากของมนุษย์ยิ่งนัก อยากจะไปบวชเสียให้หมดเรื่อง แต่ปรากฏไปที่วัดก็สอนแบบใหม่กันเสียหมด ไม่มีแบบที่บ้านธัมมะนำมาเผยแพร่เลย ก็เลย กลับมาทำมาหากินต่อ ปรากฏว่ารุ่งดี พออยู่ได้ไปวันๆ

แต่ความเครียดจากการพยายามหาเงิน มันเกิดตลอด ไม่เคยห่างหายได้อ่านเจอในกระทู้เวบบ้านธัมมะว่า ถ้ามีเงินมากก็จะได้เป็นประโยชน์แก่คนอื่น ถ้าได้เงินน้อยก็ไม่ต้องคิดเพราะมีปัจจัยให้ได้เงินน้อย อ่านแล้วมีกำลังใจทำมาหากินขึ้นเยอะ ไม่ต้องทำอะไรผิดปกติจากชีวิตประจำวัน ก็เป็นการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมได้ การตั้งใจทำงานโดยคิดในทางกุศลบ่อยๆ ก็เป็นสัมมาอาชีวะในการทำงาน ไม่โกหก ไม่ใส่ใจถ้อยคำล่วงเกินเห็นเป็นเพียงเสียงที่เกิดแล้วดับทันที มีความรับผิดชอบต่อลูกค้า ขายของให้ลูกค้าโดยมีจุดประสงค์ให้เขานำไปใช้เพื่อเกิดประโยชน์กับเขา ไม่ใช่ว่าลูกค้าเป็นพระเจ้าแต่ลูกค้าเป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย ควรมีความเป็นเพื่อนแก่ลูกค้าทุกคน เพราะมีความทุกข์ใจกันมากมายทุกคน

ส่วนความเครียดในการทำงาน ถ้าเห็นเป็นเพียงสภาพธรรม ไม่มีตัวตน เรา เขา สัตว์บุคคล เห็นว่าเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ใช่ของเที่ยงแท้ยั่งยืนอะไร จะบรรเทาความหงุดหงิดไปได้เยอะเลยค่ะ แต่ยังไม่ใช่พระอริยบุคคล ยังไงก็ต้องเครียด โกรธ หงุดหงิด เป็นธรรมดา ก็ให้รู้ตรงนั้นว่ากำลังเครียด กำลังโกรธสิ่งที่ไม่มีแก่นสาร

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
pornpaon
วันที่ 11 ม.ค. 2550

ดิฉันเชื่อว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ค่ะ ตราบใดเราไม่ละทิ้งและยังมั่นคงในการประกอบกุศลกรรม ทำดีชีวิตย่อมประสบสุขได้ในวันหนึ่ง อาจมาถึงช้าบ้าง แต่คนเราทำอย่างไรได้อย่างนั้น แน่นอนที่สุดค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
wannee.s
วันที่ 12 ม.ค. 2550

ความดีที่ทำไว้ไม่สูญหายไปไหนค่ะ เช่น การทำบุญให้ทาน ชวนะดวงที่ ๑ ให้ผลในชาตินี้ชวนะดวงที่ ๒ - ๖ ให้ผลนับชาติไม่ได้ ชวนะดวงที่ ๗ ให้ผลชาติหน้า ฝ่ายอกุศลก็เช่นกันค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 21 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ