ถ้าเข้าใจว่า ทุกอย่างเป็นเพียง "สภาพธรรมะ" ไม่ใช่เรา แล้วเหตุไฉน ถึงยังอยากเข้าใจธรรมะ?
จะเอาความเข้าใจ ไปเพื่ออะไร ก็ในเมื่อเห็นว่า ..."ไม่มีเรา"..มีแต่ธรรมะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
มีเรา ก็เพราะกิเลส มีเราด้วยตัณหา มานะ และความเห็นผิดที่สำคัญว่ามีเรา ผู้ที่จะไม่มีกิเลส ที่ไม่ยึดถือว่าเราด้วยกิเลสอีกเลย คือ พระอรหันต์ เพราะฉะนั้น อะไรเล่าที่จะทำให้ละกิเลสที่ยึดถือว่ามีเรา นอกเสียจากปัญญา คือ ความเข้าใจพระธรรมและการเข้าใจขั้นการฟังว่าทุกอย่างเป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เรา เพียงพอหรือไม่ ต่อการจะละกิเลสต่างๆ ที่ยึดถือว่าเรา ที่สะสมมามากมายมหาศาล ไม่เพียงพอเลย เพราะฉะนั้นด้วยเหตุนี้ ผู้ที่มีปัญญาย่อมเห็นคุณค่าของการศึกษาพระธรรม อบรมปัญญาอันนำมาซึ่งความเข้าใจพระธรรมทีละเล็กละน้อย ที่จะละกิเลส ละความยึดถือว่าเป็นเราได้ในที่สุด ซึ่งต้องใช้เวลาอบรมที่ยาวนาน นับชาติไม่ถ้วน
พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงมีคุณค่า อันนำมาซึ่งการละกิเลสที่มีมากได้ในที่สุด และแม้พระอรหันต์ที่ทำกิจดับกิเลสได้แล้ว ท่านก็เป็นผู้ที่ศึกษา สนทนาธรรม สอบถามพระพุทธเจ้า เพราะจิตใจน้อมไปที่พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง อันไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด ท่านเหล่านั้นมีพระสารีบุตร เป็นต้น ละความเป็นเราได้หมดสิ้น ก็ศึกษาพระธรรม มิใช่เพื่อดับกิเลส แต่เพื่อความงดงามของพระธรรมที่จะดำรงอยู่ต่อไป เพื่อชนรุ่นหลังได้ประโยชน์อันเกิดจากการแสดง สังคายนา ของเหล่าพระสาวก
การละความเป็นเราจึงต้องเป็นไปตามลำดับ คือ ละความเห็นผิดที่ยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล อันเกิดจากการฟัง ศึกษาพระธรรมในขั้นการว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราอย่างยาวนาน ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทุกขณะของชีวิต แต่สภาพธรรมเท่านั้นที่กำลังเป็นของจริงที่ปรากฏ เคยคิดว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นวัตถุ เป็นสิ่งต่างๆ แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้ว ล้วนเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างทั้งหมดที่กำลังปรากฏ และสภาพธรรมนั้นมี ๒ ประเภท คือ สภาพธรรมที่สามารถรู้อารมณ์ คือ จิต และ เจตสิก กับธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย ได้แก่ รูปธรรม
ที่จะเข้าใจถูกตรงตามความเป็นจริงของสภาพธรรม จึงเป็นเรื่องของปัญญาที่จะต้องค่อยๆ เกิดขึ้น ค่อยๆ อบรมขึ้น ค่อยๆ ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏขึ้น ไม่ใช่เป็นเรื่องไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ ไม่ใช่เป็นไปด้วยความอยากความต้องการ แต่เป็นเรื่องที่จะต้องเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติในขณะนี้นั่นเอง ซึ่งจะขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวันไม่ได้เลย เพราะสะสมความไม่รู้และกิเลสทั้งหลายมามาก จะค่อยๆ ขัดเกลาละคลายได้ก็ต้องด้วยปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้นจริงๆ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...