ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่ หลวงพระบาง ๑๗-๑๙ ก.พ. ๒๕๕๘
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันที่ ๑๗ - ๑๙ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ได้รับเชิญจากคุณฟองจันทร์ วอลช เพื่อไปพักผ่อน ที่ Chantavinh Resort หลวงพระบาง
เมื่อกลับมา คุณฟองจันทร์ (พี่แอ๊ว) ได้กรุณานำไฟล์เสียงที่ได้บันทึกเสียงการสนทนาธรรม
ที่ท่านอาจารย์ได้สนทนาไว้ ที่หลวงพระบาง มาให้ข้าพเจ้าได้ฟัง
นอกจากนั้น ยังมีภาพถ่ายจากท่านสมาชิกที่ร่วมเดินทางไปในครั้งนี้หลายท่าน
จึงขออนุญาต ที่จะนำความการสนทนาธรรมบางตอน ที่ท่านอาจารย์ได้สนทนามาลงไว้
ซึ่งเป็นตอนที่ท่านอาจารย์ สนทนากับคุณณภัทร เรืองจันทร์ฤทธิ์ และท่านอื่นๆ
ในตอนเย็นของวันแรก ที่ Chantavinh Resort หลวงพระบาง
เป็นความเกี่ยวกับเรื่องสติปัฏฐาน ที่ละเอียด ลึกซึ้ง
มีความไพเราะอย่างยิ่ง ควรที่ทุกท่านจะได้พิจารณาเพื่อประโยชน์ร่วมกันดังนี้
คุณณภัทร ผมได้ฟังเทปของท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์บอกว่า ทุกอย่าง ต้องมีอาหาร
เพื่อที่จะหล่อเลี้ยงทุกอย่าง เป็นสังขารขันธ์ อาหารของสติ ก็คือ สุจริต ๓
แต่คำว่า สุจริต ๓ นี่ ผมยังไม่...
ท่านอาจารย์ กาย วาจา ใจ
คุณณภัทร กาย วาจา ใจ?
ท่านอาจารย์ ที่เป็นกุศล
คุณณภัทร ครับ คือ อันนี้ เป็นอาหารของสติ?
ท่านอาจารย์ คือ เรานี่ ไปติดตัวหนังสือมากเลย
พออันนี้ บอกว่าอันนี้
แต่ ลึกลงไป ก็คือว่า ถ้าไม่มีความเข้าใจ
เท่านั้นแหละ !!!
ตัว "เข้าใจ" นี่ หมายความว่า ตั้งแต่ต้นเลย
ถ้าไม่มีความเข้าใจ แล้วสติจะเกิดได้ไหม?
เดี๋ยวนี้ !!!
ทั้งๆ ที่ สิ่งที่ปรากฏ "สติ" สามารถจะเกิด และ "ปัญญา" รู้ได้ !!!
ก็ไม่เกิดน่ะ ใช่ไหม?
เพราะฉะนั้น เราก็ไปจำคำในหนังสือมา
พออ่านพระสูตรเรื่องนี้ "สุจริต ๓" เราก็หา
แต่ความจริง ถ้าเราเข้าใจว่า
ถ้าไม่มี "ปัญญา"
สุจริต ๓ เกิดได้ไหม?
เขาทำมาหากินสุจริต เขาพูดจาดี เข้าเว้นทุจริต นี่
สติปัฏฐาน จะเกิดได้ไหม?
เพราะฉะนั้น เราไม่ได้เพียงเอาคำที่มีอยู่
โดยที่ว่า
ความลึกซึ้งของคำนั้น อยู่ตรงไหน?
เรามาเอาแต่พยัญชนะ ที่เราเจอ
แต่ความสำคัญที่สุด ก็คือ ปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง
ซึ่ง ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเลย
ไม่มีทาง !!!
ที่ใครจะไปคิดคำของพระพุทธเจ้าได้
ท่านเป็นใคร?
ใช่ไหม?
เพราะฉะนั้น ถึงเราอ่านว่า สุจริต ๓ เราก็ต้องรู้ว่า ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีปัญญา
เพราะว่า คนที่มีกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต คือ ขณะที่เป็นกุศล
แต่ไม่มีปัญญา มี
มันถึงมี กุศลที่ประกอบด้วยปัญญา กับ กุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา
เพราะฉะนั้น ที่ขาดไม่ได้ของคำสอน คือ ปัญญา
ซึ่ง ศาสนาอื่น คำสอนอื่น
ไม่มี !!!
เพราะฉะนั้น พออ่าน ความเข้าใจ นี่ สำคัญที่สุด!!!
เหมือนกับว่า ครั้งโน้น คนไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เขาเป็นใคร?
ที่เขาได้ยิน ได้ฟัง มาจากไหน?
กี่ชาติแล้ว? ที่เขาสามารถที่จะฟังแล้วเข้าใจได้!!!
แต่ทีนี้ เราตัวเปล่าๆ ดูสิ มีปัญญากันแค่ไหน?
ใช่ไหม?
แล้วเราไปคิดว่า เราจะฟัง (คำ) ของพระพุทธเจ้าได้นี่ ประมาทมาก!!!
พอเราไม่ประมาทเท่านั้น ทุกคำ เรามีความตั้งใจฟัง
เพื่อที่จะรู้ว่า แต่ละคำ ขาดไม่ได้เลย
เพียงแค่เราคุยกันนิดเดียว
เมื่อกี้นี้ว่าอะไร?
แม้แต่วิทยุ ใช่ไหม?
พอใครมาทำให้เราสนใจเรื่องอื่นปุ๊บ เอ๊ะ!! เมื่อกี้นี้ว่าอะไร?
ก็ไม่รู้แล้ว
แทบจะเรียกว่า แล้วจะไปหาที่ไหนมาเติม ตรงที่มันขาดไปได้
แล้วเราก็รู้ใช่ไหม?
ไม่มีอะไรประเสริฐ เท่า "ปัญญา"
แล้วใครตรัส?
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น "ทุกคำ" ไม่มีทางที่ใครจะประมาท
คิดว่าเล็กน้อย ไม่ต้องเข้าใจจริงๆ
ไม่ได้ !!!
เพราะฉะนั้น ทุกคำถาม มีคำตอบ
เพราะอะไร?
พระพุทธเจ้า ตรัสรู้และทรงแสดง โดยประการทั้งปวง
ไม่ต้องให้ใคร "คิดเอง"
เพราะอะไร?
"คิดเอง"
ผิด !!!!
เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ? ถึงจะได้มาคิดเองได้
ของท่าน "ทุกคำ"
คุณพรรณิภา เวลาคนที่ไม่เข้าใจ แล้วเขาไปทำอะไร
อย่างที่เมื่อวันอาทิตย์ ที่ผู้หญิงคนนั้น ถามว่า...
ท่านอาจารย์ เรื่องไปไหว้พระภิกษุ ที่อยู่ปริวาสกรรม
คุณพรรณิภา เขาก็นึกว่า โอ้โฮ...นั่นเป็นบุญมากแล้ว อะไรอย่างนี้จริงๆ
พอท่านอาจารย์บอกว่า พระภิกษุต้องโทษ ทำความผิด ท่านอาจารย์ก็อธิบายให้ฟัง
แต่ไม่รู้ว่า เขาจะรู้สึกอย่างไร
ท่านอาจารย์ ที่จริง ศึกษาธรรมะ แต่ละคำ ที่ใช้คำว่า รอบรู้ปริยัติ
ถ้าคำที่ ๑ เราไม่รู้จริงๆ เราจะไปรู้คำอื่นต่อ ได้อย่างไร?
แต่ละคำๆ เพิ่มขึ้น
ถ้าเราเข้าใจจริงๆ หนึ่งคำ
พอไปเจอคำนั้นที่อื่น และคำขยายคำนั้น
เราก็เข้าใจเพิ่มเติมได้ เมื่อเราเข้าใจตอนต้นแล้ว
เพราะฉะนั้น เรียน , ฟัง เพื่อ "ละ" อย่างเดียว
ถ้าใครอย่างนี้ คือ ถูก !!!
เพราะว่า พระพุทธศาสนานี่ ตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงที่สุด
คือ
เรื่อง "ละ"
อย่างเมื่อกี้นี้ เราสนทนากัน ใช่ไหม?
ระหว่างที่พระองค์ สามารถจะถึงความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
ยิ่งใหญ่กว่าพระราชาทั้งหลาย กับ บาตร แล้วก็ไม่มีปราสาทราชวัง
อยู่ป่า
เลือกอันนี้ !!!
คิดดูก็แล้วกัน "ปัญญา" ใช่ไหม?
ที่ทำให้คิดอย่างนั้น และ เห็นประโยชน์จริงๆ ว่า
ชั่วคราว ทุกอย่าง
แล้วยิ่งถึงคำที่ว่า อริยสัจจ์ ๔
ทุกขอริยสัจจะ
ทุกข์ คือ ไม่มี
เวลานี้ มันมีหมด
มีที่ไหน?
มันดับแล้ว ทั้งนั้น !!!
เราต้องเข้าไปในคำ ที่มีความหมายลึกถึงว่า
ถ้าเรารู้ว่ามันไม่มีนี่
เราค่อยคลายหน่อย ใช่ไหม?
มันมีนิดเดียว
แล้วมันก็ไม่มี
รวมความว่า ถ้าสามารถจะเห็นความไม่มี เราจะไม่ติด
แต่ที่เราติด เพราะเราเห็นว่ามี
แค่นี้ !!!
มันกลับกันนิดเดียว ตัว "ปัญญา"
ถ้าไม่มีปัญญา เราติด เพราะเราคิดว่า มี ใช่ไหม?
อย่างเดี๋ยวนี้
แต่เราจะคลาย ต่อเมื่อ เรารู้ว่า มันไม่มี
ผู้ฟัง สิ่งเหล่านี้ ถ้าท่านอาจารย์ไม่พูดให้เราฟัง เราก็คิดเองไม่ได้
ท่านอาจารย์ ท่านตรัสไว้ค่ะ
แต่ทีนี้ กว่าปัญญาของเรา จะค่อยๆ เข้าใจ แต่ละคำ
ที่เรียกว่า "รอบรู้"
แม้แต่คำว่า "ทุกข์" สภาพธรรมะ ที่เกิดแล้วดับ
เวลานี้ เป็นอย่างนี้เลย !!!
"ดับ" มันก็ต้อง "ไม่มี" ใช่ไหม?
มันหายไปหมดแล้ว
และ มันดับอยู่เรื่อยๆ มันก็ไม่มีอยู่ตลอด
ที่ว่า "มี"
ก็คือ "ชั่วขณะที่ปรากฏ"
ถ้าเรายังคิดว่ามันมี คือ เราต้องติดแน่ !!!
แต่พอเราเข้าใจความจริงว่า มันไม่มีหรอก เราที่อยู่ตรงนี้
ก็แค่นี้ แล้วก็หมด หมด หมด อยู่ตลอด
มันจะเป็นเรามีอยู่ ได้อย่างไร?
แต่เพราะเหตุ "ความไม่รู้" มันทำให้เป็น "เรามี"
"มีเรา"
มันก็อยู่ไปอย่างนี้แหละ
กว่าจะ "ถึง"
เห็นไหม? ว่าไม่ใช่เราฟังแล้ว เราจะได้ไปรู้ อย่างนั้น อย่างนี้
แต่ "ละความไม่รู้"
ซึ่งมันมาก ประมาณไม่ได้เลย
ที่อยู่มา ด้วยความไม่รู้ ทั้งหมด !!!
คุณณภัทร ท่านอาจารย์ครับ อย่าง บางคน ได้ยินคำว่า โพธิปักขิยธรรม ๓๗ อย่างนี้
ก็จะ อิทธิบาท ๔ สติปัฏฐาน ๔ อินทรีย์ ๕ โพชฌงค์ ๗
ท่านอาจารย์ จำนวนเป๊ะ
คุณณภัทร แต่ว่า กับการที่เรา เป็นผู้มีปรกติ อบรมเจริญสติปัฏฐาน ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง
มันก็คือ ไม่ต้องไปติดในคำ ว่าจะต้องเป็น อิทธิบาท ๔ ฉันทะ วิริยะ....
ท่านอาจารย์ ข้อสำคัญที่สุด โพธิปักขิยธรรม คือ อะไร?
แค่นี้ ตายนะ เพราะไม่รู้ว่า รู้อะไร?
เพราะฉะนั้น รู้อะไร? นี่ต้องมาก่อน
พระพุทธเจ้าตรัสรู้
รู้อะไร?
คุณณภัทร รู้ความจริง
ท่านอาจารย์ ความจริง ของ อะไร?
คุณณภัทร ของสิ่งที่กำลังมี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้ แล้วก็จะมีสติปัฏฐานไหม?
เพราะว่า สติปัฏฐานนี่ หนึ่งในโพธิปักขิยธรรม
สติปัฏฐาน ๔
ไม่ใช่เราเอาลำดับมรรค ๘ มา โพชฌงค์มา
เริ่มต้น ตรงไหนล่ะ?
ใช่ไหม?
เพราะฉะนั้น เริ่มต้นโพธิปักขิยธรรมนี่ สติปัฏฐาน ๔ นะคะ
ถ้าเราไม่มีปัญญาเลย แล้วสติปัฏฐาน มันเป็นยังไง?
แล้วมันรู้อะไร?
แล้วไปนั่งจำ เรียกว่า เบอร์ ก็ได้ เยอะเลย
ตัวเลขทั้งนั้นเลย
แล้วจะ "ทำ" กันด้วย
แล้วมันก็นำความซึ่งสงสัย ถ้าเรามีปรกติเจริญสติปัฏฐานนี่ จะมีพวกนี้ไหม?
แยกแล้ว แยกชื่อของโพธิปักขิยธรรม ๓๗ กับ สติปัฏฐาน !!!
แต่ว่า ถ้าไม่มีปัญญา สติมีไหม?
แค่นี้ ก็ไม่มีแล้ว !!!
และ ขั้นฟัง ถ้าไม่มี
มันจะทำให้จิตของเรา ซึ่งไม่รู้อะไรเลย ค่อยๆ มีความรู้ ที่จะละความติดข้อง
จนกระทั่ง สามารถที่จะเป็นปัจจัย ให้สติปัฏฐาน เกิดหรือเปล่า?
มันไปเอา "เหตุ" มาจากไหน?
มีแต่หวังผล ว่าสติปัฏฐานจะเกิด
แต่ "เหตุ" ให้สติปัฏฐานเกิด มันอยู่ไหน?
มันไม่มีเลย !!!
เพราะฉะนั้น ทั้งหมดนี้ จะไม่มีการขาดปัญญาเลย !!!
ต้องรู้ แม้แต่ชื่อ ที่หลากหลาย ต่างกัน
สติสัมปชัญญะ สติปัฏฐาน
สองชื่อนี้
ต่างกัน หรือว่า เหมือนกัน
ถ้าแปลโดยศัพท์ เขาแปลง่ายมาก
สติสัมปชัญญะ คือ การรู้สึกตัว
หมายความว่า ต้องมีอะไร ที่ทำให้สติ รู้สึกตรงนั้น
เป็นสติสัมปชัญญะ
แต่ถ้ามันยังไม่เกิด เราจะรู้ไหม?
ไม่รู้ !!!
แล้ว สติสัมปชัญญะ ยังแยกเป็น ๒
สติสัมปชัญญะ ของสมถภาวนา กับ สติสัมปชัญญะ ซึ่งเป็นสติปัฏฐาน
ถ้าเราไม่เข้าใจ เราจะไปรู้ได้อย่างไร?
เพราะฉะนั้น คนที่เขาฟังในครั้งโน้น เขารู้ !!!
พอพูด เขาก็รู้
เขาสะสมมา
ใช่ไหม?
อย่าง "สติ" อย่างนี้
ต้องไม่ใช่ "สมาธิ" แน่
เพราะฉะนั้น บอกว่า เจริญสมาธิ
มีมิจฉาสมาธิ กับ สัมมาสมาธิ
แล้วใครรู้?
ว่าอันไหนเป็นมิจฉา? อันไหนเป็นสัมมา?
ถ้าไม่มีปัญญา !!!
เพราะฉะนั้น ทั้งหมด อยู่ที่ "ปัญญา" อย่างเดียว !!!
ถ้าไม่มีปัญญา ก็คือว่า ไม่ใช่ผู้ที่ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า
และ "ผู้ที่ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า" ก็คือ ผู้ที่ใช้คำว่า "ฟังธรรม"
หมายความว่า "เข้าใจ"
ไม่ใช่คนที่ แค่ได้ยิน แล้วก็ไม่สนใจ
นั่นคือ ไม่ได้ฟัง !!!
แต่ ฟัง แล้วเข้าใจ ในภาษาของตนๆ
อย่างเวลานี้ เราไม่ได้พูดภาษาบาลี เราพูดภาษาไทย
ในภาษาของเรา ที่จะเข้าใจได้
ทุกภาษาเหมือนกัน
เพราะหมายถึง สภาพธรรมะ
แล้วแต่ว่า ใครใช้ภาษาไหน
แต่ทีนี้ ตรัสไว้ ในภาษาบาลี ใช่ไหม?
ภาษามคธี ภาษาที่ดำรงพระพุทธศาสนา
เราจำเป็นต้องใช้คำนั้น
ให้รู้ว่า คำนั้น หมายความถึง สภาพธรรมะอะไร?
ในภาษาไหน ใช้ได้หมด
เพราะฉะนั้น ความรู้ของเรา เท่าที่ได้ฟังมาแล้วนี่
แค่ไหน?
ต้องตรง !!!
และ คนที่ไปทำอะไรๆ ๆ
ปฏิบัติ รู้อะไร?
แม้แต่จะตอบคำถามว่า แล้วรู้อะไร?
ก็ตอบไม่ได้ !!!
แต่ รู้อะไร?
รู้สิ่งที่กำลังมี เดี๋ยวนี้ !!!
เพราะว่า มี แล้ว ไม่รู้ สำหรับคนธรรมดา
พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ สิ่งที่คนอื่นไม่รู้ ที่มี ทุกคน
ทุกคนมีแล้วทั้งนั้น
แต่ไม่รู้มาเลย ตั้งแต่เกิดจนตาย
ได้ฟังเมื่อไหร่ เริ่มรู้เมื่อนั้น !!!
แต่ข้อสำคัญที่สุด ที่น่าเห็นใจ น่าสงสาร
แต่ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร?
เพราะว่า แต่ละสิ่งนี้ เป็นแต่ละธาตุ ใช่ไหม?
"เสียง" จะให้เปลี่ยนเป็น "ขม" ก็ไม่ได้
แต่ละหนึ่งๆ เป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น เวลานี้ ธาตุ ทั้งหมดเลย
"เห็น" เป็น ธาตุ "ได้ยิน" เป็น ธาตุ
ชีวิตครึ่งหนึ่ง เป็นผลของกรรม
เกิดมานี่ เป็นผลของกรรม
เกิดแล้วต้อง "เห็น" ต้อง "ได้ยิน"
กรรม ทำให้ต้องเป็นอย่างนั้น
แต่เมื่อมีแล้ว ความไม่รู้ ที่สะสมมา และกิเลสทั้งหลาย ที่สะสมมา
พร้อมที่จะเกิดทันที ติดข้อง ด้วยความไม่รู้
แล้วก็ เป็นไป ด้วยอกุศล
ก็นี่แหละ คือ หนึ่งชาติ
อยู่อย่างนี้ !!!
ผลของกรรม กับ กรรมใหม่ที่ทำ
แล้วก็หมด
แล้วก็ไม่เหลือ ความเป็นบุคคลนี้ อีกเลย
คือ ไม่มี ใช่ไหม?
มันไม่มีมาตั้งแต่ไหน แต่ไรแล้ว
มันมี แค่นิดเดียว
แต่จริงๆ แล้ว แค่นิดเดียว แล้วไม่มีนี่
คิดดูก็แล้วกัน !!
ภวังค์จิต แล้วก็มี วิถีจิต แล้วก็ ภวังค์จิต แล้วก็ วิถีจิต
ตอนภวังค์จิตน่ะ หายไปหมดเลย !!
ชัดๆ ก็ยังไม่รู้ !!!
เนี่ย ตลอดเวลาเนี่ย มันไม่มีทั้งนั้นเลย !!
เพราะมัน ดับแล้ว !!!
เพราะฉะนั้น ถึงได้รู้ว่า นี่คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า !!!
คุณฟองจันทร์ ทีนี้ ในการที่เรายังไม่ได้ประจักษ์ การเกิดดับ ของสภาพธรรมะ ในขณะนั้นนี่
ท่านอาจารย์ ค่ะ พูดชัดเลย ว่า "เรา"
เพราะฉะนั้น "เรา" น่ะ ไม่มีทางประจักษ์หรอก
ต้อง "ปัญญา"
คุณฟองจันทร์ เพราะฉะนั้น เราก็พูดไม่ได้ ว่าสภาพธรรมะ เกิดดับอยู่ตลอดเวลา
เพราะเรายังไม่ได้เข้าใจตรงนั้น มันเป็นเพียงขั้นฟัง
ท่านอาจารย์ แต่ว่า เราคิดว่า จริงไหม?
นี่คือ เริ่ม ที่จะมีความเห็นที่ถูกต้อง จนเป็นสัจญาน ไม่เปลี่ยน
คือ เดี๋ยวนี้ !!!
ท่านพระสิวลี เดี๋ยวนี้ ท่านศึกษาปรมัตถธรรมสังเขป แล้วท่านก็อ่านพระไตรปิฎก
ท่านมีความรู้ก่อนนั้นมาก
แต่พอท่านมีความเข้าใจ
เริ่มมั่นคง
ทุกคำของท่าน ต้อง เดี๋ยวนี้ !!!
เพราะมันมี เดี๋ยวนี้ เมื่อกี้นี้มันไม่เหลือแล้ว
ขณะต่อไป มันก็ยังไม่เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น สนทนาธรรมนี่ เป็นมงคล ในมงคล ๓๘
เพราะว่า ทำให้เรามีความเข้าใจขึ้น
จากการที่เรา
ฟังแล้ว ฟังอีก ฟังแล้ว ฟังอีก
เพราะ ถ้าไม่มีเดี๋ยวนี้ เราก็ไปตามห้องแล้ว ไม่ได้เข้าใจแล้ว ใช่ไหม?
เพราะฉะนั้น มีตรงนี้
ก็เพราะเหตุว่า เรามีโอกาส จะได้ฟัง โดยความเป็นอนัตตา ว่า
เราก็ไม่รู้ ว่าเราจะสนทนากันเรื่องอะไร
ใช่ไหม?
สารพัดเรื่อง ได้หมด
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ขา เรามีพี่น้อง ที่เขายังวิ่งไปตาม......
ท่านอาจารย์ อย่าไปคิดเลย อย่าไปคิดเลย
ผู้ฟัง เราก็จะเกื้อกูลเขา
ท่านอาจารย์ นี่แหละค่ะ อย่าไปคิดเลย
พระพุทธเจ้า ยังเกื้อกูลใครไม่ได้เลย
เอา "ต้นไม้" มาทำให้เป็น "เสียง" หน่อยสิ มันเป็นธาตุแข็ง น่ะ
ผู้ฟัง ค่ะ คนละธาตุ
ท่านอาจารย์ แล้วเราจะไปทำ คนที่ไม่ใช่ธาตุชนิดนี้ ให้เป็นธาตุชนิดนี้ ได้อย่างไร?
เพราะทั้งหมด เป็น "ธาตุ"
ไม่ใช่ "เรา"
ผู้ฟัง แต่ก็ไม่ผิดใช่ไหม? ถ้าหนูจะเปิดเสียงท่านอาจารย์ให้เขาได้ยิน
ท่านอาจารย์ ถ้าพูดอย่างนี้นะ หมายความว่าขออนุญาตหรือเปล่า?
หรือ ถามความเห็น?
หรือ ยังไง?
เพราะฉะนั้น ยังไม่ใช่ปัญญาของเรา
ไม่ถูกต้อง !!!
ฟังธรรมะ ต้องรู้ว่า นี่ถูก หรือ ผิด ด้วยตัวของเราเอง
ถ้าไปเที่ยวถามเขา แปลว่า เรายังไม่ได้เข้าใจ
ใช้คำอย่างนี้เลย อย่างไม่เกรงใจเลย ว่า
ตราบใดที่ยังถามใครว่า นี่ใช่ไหม? ก็คือ ไม่ใช่ความถูกต้อง
เพราะว่า เรายังไม่รู้ว่า ถูก หรือ ผิด
ผู้ฟัง หนูก็คิดว่า หนูถูก ค่ะ
ท่านอาจารย์ แล้วถามทำไม?
ผู้ฟัง คือ หนูกำลังเรียนถามท่านอาจารย์ ว่า ที่หนูเปิด แต่บางคนเขาเริ่มเข้าใจ
หนูก็รู้สึกดีใจ แต่พอเขาไม่เข้าใจ บางครั้ง หนูก็คิดว่า ยังไม่ถึงเวลาของเขา
ท่านอาจารย์ นี่ไง แล้วก็เรื่องของเขา ใช่ไหม?
เราก็ไม่ทุกข์ร้อน
พระพุทธเจ้าสอนว่า ความทุกข์ หรือ ความรู้สึกเป็นทุกข์ ดีไหม?
แค่นี้ !!
ท่านชี้ทางให้เรา ไม่เป็นทุกข์ แม้เพียงเล็กน้อย คิดดู
มีประโยชน์อะไร?
เกิดมาแล้ว ชั่วขณะนี่ ให้มันเป็นทุกข์
มีประโยชน์ไหม?
ถ้าเราฟังคำบ่อยๆ จิตของเราที่ได้ยิน ได้ฟัง แล้วเข้าใจขึ้น
จะค่อยๆ นำไป น้อมไป
แต่ เราประมาทมาก
แม้แต่ "กิจแรก" ก็คือว่า ปัญญา เห็นถูกว่า "ฟัง"
ถ้าไม่ได้ยิน ได้ฟังเลย
จะไม่มีความเข้าใจอะไรเลย !!!
เป็นเหตุให้เรายังฟังกันอยู่ทุกวันนี้ !!!
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณฟองจันทร์ วอลช และ ท่านผู้ร่วมเดินทางทุกท่าน
และ ขอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
ขอขอบคุณ คุณฟองจันทร์ วอลซ หัวหน้าTour และ คุณวันชัย ภู่งาม มีครบทั้งภาพและเนื้อหา
ไปเที่ยวหลวงพระบาง คราวนี้ ท่านอาจารย์สุจินต์ ท่านได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ และขอขอบคุณ
อาจารย์ ธิดารัตน์ หอมจันทร์ กับ คุณเบญจมาศ ที่ท่านทั้งสอง ได้เดินผ่านความมืด เดินฝ่า
กิ่งไม้ที่ร่วงหล่นกับพื้น นำไฟฉายไปส่งให้ท่านอาจารย์ได้ใช้ เนื่องจากตอนหัวค่ำมีพายุพัดมา
มีทั้งลมแรงมาก ฝนตกหนัก จนเป็นสาเหตุไฟดับทั้งเมือง เป็นเวลา3-4ชั่วโมง ก่อนที่ไฟจะมา
อีกครั้งก็กลางดึกแล้วครับ
ขออนุโมทนาครับ
สาธุ สาธุ สาธุ
อนุโมทนาพี่วันชัย ภู่งาม ครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณฟองจันทร์ วอลช และ ท่านผู้ร่วมเดินทางทุกท่าน
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง
และ ขอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
กราบบูชาพระคุณท่านอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพอย่างสูง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณพี่ฟองจันทร์ วอลช และผู้ร่วมเดินทาง
รวมทั้งคุณวันชัย ภู่งาม ที่ถ่ายทอดการสนทนาที่มีคุณค่าจากความเมตตาของท่านอ.
การได้ฟังความจริงคือขณะที่ประเสริฐยิ่ง
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอกราบอนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่แอ๊ว ฟองจันทร์ และคุณวันชัย ภู่งามด้วยค่ะ
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ