แนวทางปฏิบัติธรรม สำหรับพระอรหันต์

 
pdharma
วันที่  10 มี.ค. 2558
หมายเลข  26296
อ่าน  1,026

ใน พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้าที่ 699

คุหัฏฐกสูตรที่ ๒ ว่าด้วยผู้ข้องอยู่ในถ้ำคือกาย

ในส่วนสุดท้ายของอรรถกถาคุหัฏฐกสูตรที่ ๒ แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย ชื่อปรมัตถโชติกา นี้มีข้อความว่า

"...พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจบเทศนาลงด้วยธรรมเป็นยอดคือพระอรหัต ทรงบัญญัติไว้เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติธรรมเท่านั้น มิใช่ให้เกิดมรรคหรือผลด้วยเทศนานี้เพราะทรงแสดงแก่พระขีณาสพ." (พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้าที่ 709)

ใคร่เรียนถามว่า

๑. หากปุถุชน พระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี ศึกษาคุหัฏฐกสูตรที่ ๒ ว่าด้วยผู้ข้องอยู่ในถ้ำคือกาย ข้างต้น ก็ยังเป็นทางให้เกิดมรรคหรือผลได้ ใช่หรือไม่

๒. การเข้าใจในขั้นฟังว่า "ไม่ใช่ตัวตนที่จะไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ ด้วยความเป็นตัวตน" นั้น ก็เป็นแนวทางปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง ที่ยังไม่ใช่ให้เกิดมรรคหรือผลสำหรับปุถุชน ใช่หรือไม่


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 10 มี.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

-สำคัญที่ความเข้าใจตั้งแต่ต้นว่า พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นพระสูตรใดก็ตาม ย่อมเกื้อกูลต่อความเจริญขึ้นของปัญญาอย่างแท้จริง ผู้ที่มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษา ประโยชน์ คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูกย่อมเกิดขึ้น ผู้ที่มีโอกาสได้ศึกษา ก็เสมือนกับว่าได้ฟังโดยตรงจากพระโอษฐ์ ก็ย่อมจะได้รับประโยชน์จากพระธรรมตามกำลังปัญญาของแต่ละคน จากความเป็นปุถุชน ก็สามารถถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ได้ เพราะมีความเข้าใจอย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นเรื่องการสะสมปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกจริงๆ และที่สำคัญ ผู้ที่จะได้บรรลุธรรม จะต้องเป็นผู้ได้สะสมปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกมาแล้วอย่างยาวนาน ดังนั้น แม้ว่าจะเป็นพระสูตรที่ทรงแสดงโดยตรงกับพระอรหันต์ ซึ่งเป็นผู้หมดจดจากกิเลสแล้ว ก็ย่อมจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นแม้ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ด้วย

-เมื่อตั้งต้นถูก ก็ย่อมจะนำไปสู่จุดหมายปลายทางที่ถูกต้อง ซึ่งจะแตกต่างจากการตั้งต้นผิด มีแต่จะผิดโดยตลอด ดังนั้น ความเข้าใจถูกเห็นถูก จึงต้องเจริญขึ้นไปตามลำดับจริงๆ และจะต้องเข้าใจให้ถูกในเรื่องของปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ตัวตนที่ไปปฏิบัติ แต่เป็นกิจหน้าที่ของธรรม คือ สติและปัญญา เป็นการเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏด้วยความเข้าใจถูกเห็นถูก ดังนั้น กว่าจะถึงการบรรลุมรรค ผล ก็ต้องอาศัยการสะสมปัญญาไปทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ และต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนาน เพราะสะสมกิเลส สะสมความไม่รู้มาอย่างยาวนาน ซึ่งจะขาดการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวันไม่ได้เลยทีเดียว ปัญญาขั้นฟัง ยังไม่สามารถดับกิเลสได้ แต่ถ้าไม่มีปัญญาขั้นนี้ แล้วจะถึงการดับกิเลสได้อย่างไร เพราะปัญญาจะต้องเจริญขึ้นไปตามลำดับ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 10 มี.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
pdharma
วันที่ 11 มี.ค. 2558

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 12 มี.ค. 2558

ยังอีกไกลมากกว่าจะถึงตรงนั้น เบื้องต้นละความเห็นผิดก่อน ต้องฟังธรรมะให้เข้าใจก่อน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Jarunee.A
วันที่ 24 ม.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ