การพัฒนาปัญญา
ปัญญาในทางพระพุทธศาสนาต่างจากทางโลกอย่างไร การเจริญขึ้นของปัญญาเกิดขึ้นได้อย่างไรครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ปัญญา (ปัญญาเจตสิก) เป็นสภาพธรรมที่เห็นถูก รู้ถูก เข้าใจถูก ตามความเป็นจริง ในภาษาบาลี ไม่มีคำว่าเข้าใจถูก เห็นถูก มีแต่คำว่า ปัญญา ดังนั้น การนำคำว่า ปัญญาทางโลก มาใช้ จึงไม่ตรงกับสภาพธรรมที่เป็นปัญญาเจตสิกจริงๆ กล่าวคือไม่ใช่ปัญญาเจตสิก ปัญญาทางโลกที่เข้าใจกันนั้น หมายถึง ศิลปะ วิชาชีพสำหรับประกอบเพื่อให้การดำรงชีวิตให้เป็นไปอย่างไม่เดือดร้อน ไม่ลำบาก
ปัญญา (ปัญญาเจตสิก) ในพระพุทธศาสนา มีหลายขั้น มีทั้งปัญญาที่เข้าใจในเรื่องกรรมและผลของกรรม ปัญญาที่เป็นไปในการอบรมเจริญสมถภาวนา ปัญญาที่เป็นไปในการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ปัญญาในระดับที่เป็นวิปัสสนาญาณ ปัญญาที่เกิดร่วมกับมรรคจิต ปัญญาที่เกิดร่วมกับผลจิต แต่ทั้งหมดทั้งปวงนั้นต้องเริ่มที่การฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาขั้นการฟังเป็นปกติในชีวิตประจำวัน เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก ไปตามลำดับ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม และฟังด้วยดี ย่อมได้ปัญญาครับ
เชิญคลิกอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ได้ที่นี่ ครับ
ปัญญาทางธรรมต่างกับปัญญาทางโลก
สุ. อย่างปัญญารู้อะไร ปัญญาในพระพุทธศาสนา ถ้าคนนั้นทำมาหากินเก่ง วาดรูปสวย เย็บปักถักร้อย ทำอาหารอร่อย มีปัญญาหรือเปล่าคะ มีปัญญาไหมคะ
ผู้ฟัง มี
สุ. ไม่ได้เลยค่ะ นี่ไม่ใช่ปัญญาในพระพุทธศาสนา คนไหนเรียนจบปริญญาเอกมา ทำอะไรได้ ก่อสร้างตึกสูงกี่ชั้น สถาปนิกสวยงาม อะไรก็ตามแต่ ไม่ใช่ปัญญาในพระพุทธศาสนาเลย ถ้าปัญญาในพระพุทธศาสนา หมายความว่า รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้น จึงจะชื่อว่า ปัญญา
เพราะฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่า เราอยู่ในโลกมืดเหมือนคนตาบอด ถ้าไม่ได้รับแสงสว่าง คือ พระธรรม ไม่มีทางที่เราจะรู้จักโลก รู้จักตัวเอง รู้จักทุกอย่างตามความเป็นจริง ต่อเมื่อใดที่เราเริ่มฟังพระธรรม เมื่อนั้นเราจะถึงจะรู้จักว่า ขณะนี้เป็นสภาพธรรมอะไร เป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม ทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ แล้วก็สามารถส่องละเอียดไปจนกระทั่งถึงว่า แม้เพียงขณะจิตขณะเดียวที่เกิดขึ้น มีสภาพธรรมอะไรบ้างที่เกิดร่วมกับจิตนั้น เพราะเหตุว่าเวลาเห็นแล้วคิดนึก คิดดีก็ได้ คิดไม่ดีก็ได้ เพราะฉะนั้นธรรมที่เป็นอกุศลก็ได้ ธรรมที่เป็นกุศลก็ได้ ขณะใดที่เราคิดแล้วเราโกรธ ขณะนั้นเป็นสภาพธรรมประเภทอกุศลธรรม คือ ธรรมที่ไม่ดีงาม ขณะใดที่เราคิดแล้วไม่โกรธ ขณะนั้นก็เป็นสภาพธรรมประเภทดี
เพราะฉะนั้นก็ไม่มีเรา วันหนึ่งๆ ก็อ่านออกว่ามีสภาพธรรมที่ดีบ้าง มีสภาพธรรมที่ไม่ดีบ้าง แล้วไม่ใช่เรา คนอื่นก็เหมือนกัน เขาอย่างไรเราก็อย่างนั้น โลภะ ความติดข้องในสิ่งหนึ่งสิ่งใดของเรา ก็เหมือนกับโลภะ ความติดข้องของคนอื่น เราชอบอาหารอร่อย คนอื่นก็ชอบอาหารอร่อย เราชอบเสียงเพราะ คนอื่นก็ชอบเสียงเพราะ เราชอบสิ่งที่สวยๆ งามๆ คนอื่นก็ชอบสิ่งที่สวยๆ งามๆ
เพราะฉะนั้นเราก็อ่านใจคนอื่นทะลุปรุโปร่งเหมือนกันว่า เขาชอบอะไร ทุกคนชอบความสุข ไม่ชอบความทุกข์ แต่ที่เรามีความสามารถทำอะไรต่างๆ ไม่ใช่ปัญญา ต้องทราบว่า ต้องแยกออกให้ละเอียดกว่านั้น ที่เราเคยคิดว่า คนนั้นฉลาด คนนั้นเก่ง ใช้คำนี้ได้ในภาษาไทย ฉลาดก็ได้ เก่งก็ได้ แต่ไม่ใช่ตัวปัญญาจริงๆ ไม่ใช่สภาพธรรมที่เป็นปัญญา
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ปัญญา เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นความเข้าใจถูกเห็นถูก ไม่ว่าจะเป็นในระดับใด ความเป็นจริงของปัญญาก็จะไม่เปลี่ยน คือ เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง ปัญญามีหลายระดับ ทั้งในความเข้าใจถูกเห็นถูกในเรื่องกรรมและผลของกรรม ปัญญาในขั้นของการฟัง ปัญญาที่เป็นไปกับการอบรมเจริญความสงบของจิต ปัญญาในขั้นสติปัฏฐานระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ปัญญาในระดับที่เป็นวิปัสสนาญาณขั้นต่างๆ ปัญญาในขั้นที่เป็นโลกุตตระ ที่เกิดร่วมกับมรรคจิตและผลจิต นี้คือ ความเป็นจริงของปัญญา (ความเข้าใจถูกเห็นถูก) พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาโดยตลอด ทุกคำเป็นคำจริง เป็นคำอนุเคราะห์ให้ได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกในธรรมตามความเป็นจริง
การศึกษาอบรมเจริญปัญญา ควรเป็นไปตามลำดับ ที่ขาดไม่ได้เลยนั้น คือการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ และเมื่อมีความเข้าใจถูกเห็นถูกแล้ว ก็จะอุปการะเกื้อกูลให้คุณความดีประการต่างๆ เจริญขึ้นด้วย นี้คือ ความเป็นจริงของปัญญา อย่างอื่นแล้วไม่ใช่ปัญญา แม้จะนำคำว่าปัญญามาใช้ แต่ก็ไม่ตรงตามความเป็นจริง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...