คนโง่เขลาเท่านั้นที่ถามอย่างนี้
ในหมู่พวกเรานี้ ใครหนอ ที่เป็นอริยบุคคล
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การรจะรู้ว่าใครเป็นพระอริยบุคคล บุคคลนั้นต้องมีปัญญาเสมอบุคคลนั้นหรือมากกว่า เพราะแม้บอกไปว่าคนนี้เป็นพระอริยบุคคล บุคคลที่ถามเองก็อาจเชื่อ หรือไม่เชื่อก็ได้ และประโยชน์ที่ได้รับคืออะไร คือ ความสงสัย ที่เกิดขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่น่าพิจารณา คือ แทนที่จะสงสัยความเป็นพระอริยบุคคล ควรจะพิจารณาใส่ใจในหนทางการได้เป็นพระอริยบุคคลว่าคืออย่างไร เพราะแม้จะกล่าวว่าใครเป็นพระอริยบุคคล ผู้มีปัญญาย่อมไม่เชื่อทันที แต่ย่อมสอบถาม ถามถึงอะไร ถามถึงหนทางการอบรมปัญญา ข้อปฏิบัติที่ทำให้ถึงความเป็นพระอริยบุคคลว่าคืออย่างไร เพราะเหตุ ย่อมสมควรกับ จึงพิจารณาที่เหตุว่าถูกต้องหรือไม่ เพราะฉะนั้น การใส่ใจ พิจารณาในสิ่งที่ถูกต้องและจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับผู้ถามเอง คือ หนทางการอบรมปัญญาที่จะทำให้ถึงความเป็นพระอริยบุคคล คืออย่างไร นั่นก็คือ การเจริญสติปัฏฐาน ที่เป็นการรู้ความจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา อันเป็นเรื่องที่ควรใส่ใจ และไม่นอกเหนือจากการรู้ และรู้แล้วทำให้เกิดปัญญาความเห็นถูก ครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การเป็นพระอริยบุคคล เป็นผลของการอบรมเจริญปัญญา เริ่มจากความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้น กล่าวได้ว่า การเป็นพระอริยบุคคล ต้องเป็นได้ด้วยปัญญาจริงๆ ที่สำคัญ จะขาดเหตุของการเจริญขึ้นของปัญญาไม่ได้เลย นั่นก็คือ การได้คบกับสัปบุรุษ หรือ กัลยาณมิตร สูงสุด คือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า การได้ฟังพระธรรม การใส่ใจในเหตุในผลของธรรม และน้อมที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระธรรม และประการที่สำคัญ คือ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการสะสมอบรมเจริญปัญญา ยกตัวอย่าง ท่านพระสารีบุตรเถระ ย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งอสงไขยแสนกัปป์ (ก่อนการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม) ท่านยังไม่สามารถดับกิเลสใดๆ ได้เลย แต่เมื่อได้สะสมเหตุที่ดีมาแล้ว สะสมบารมีมาพร้อมแล้ว เมื่อได้ฟังพระธรรมจากท่านพระอัสสชิเถระ (หนึ่งในพระภิกษุปัญจวัคคีย์) ทำให้ท่านได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ดับกิเลสได้ในระดับหนึ่ง และผ่านมาอีก ๑๕ วัน ท่านก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ทั้งหมดนั้น ล้วนเกิดจากการอบรมเจริญปัญญาสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกมาแล้ว นั่นเอง
เนื่องจากว่าแต่ละบุคคลเป็นผู้สะสมกิเลส สะสมอกุศลมามากในสังสารวัฏฏ์ จึงต้องฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจสภาพธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง แล้วน้อมที่จะประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง ซึ่งจะเห็นได้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงพระธรรมตลอด ๔๕ พรรษา ตั้งแต่หลังจากที่ทรงตรัสรู้จนกระทั่งถึงใกล้จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ก็เพื่อให้พุทธบริษัทเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพื่อจะได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน เพื่อจะได้ขัดเกลากิเลสอกุศลให้ลดน้อยลงจนกระทั่งสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม เป็นพระอริยบุคคลได้, พระอริยบุคคล ตรงกันข้ามกับปุถุชนอย่างสิ้นเชิง สำหรับชีวิตของปุถุชน มีกิเลสมากมายนานาประการที่ยังไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย เพราะการที่จะดับกิเลสได้จริงๆ จะต้องเป็นการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม มรรคจิต ผลจิต เกิดขึ้น บรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยบุคคล (พระโสดาบัน ถึง พระอรหันต์) เท่านั้น จึงจะสามารถดับกิเลสได้
ดังนั้น สำหรับปุถุชนผู้ยังหนาแน่นไปด้วยกิเลส อยู่ในโลกของความมืดมิด ด้วยอำนาจของอวิชชา (ความหลง, ความไม่รู้) มานานแสนนาน จึงควรอย่างยิ่งที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมเป็นอุปนิสัยที่ดีต่อไป ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...