อยากรู้ว่ากิเลสมีแบ่งฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดีด้วยเหรอครับ

 
verajakjidamane
วันที่  20 มี.ค. 2558
หมายเลข  26346
อ่าน  1,758

เคยไปวัดแล้วพระท่านกล่าวสอนญาติโยมว่าทำบุญแล้วให้ขอให้ได้ไปสวรรค์กันนะ ผมได้ยินเลยสงสัยว่าการทำบุญในศาสนาพุทธนั้นเป็นการให้ด้วยเจตนาละความตระหนี่ ด้วยเมตตาจิตอนุเคราะห์ ด้วยการให้เพื่อการร่วมสร้างศาสนสถาน เพื่อส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้คงอยู่สืบไปมิใช่หรือครับแล้วทำไมพระสงฆ์จึงบอกญาติโยมแบบนั้นครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 20 มี.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ก็เป็นเรื่องของพระภิกษรูปนั้นที่ท่านกล่าวอย่างนั้น แต่สำหรับเราผู้ที่เป็นชาวพุทธ ต้องมีความมั่นคงในความเป็นจริง ว่ากิเลส เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นนามธรรม เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตใจ กิเลสเวลาที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นมาเฉพาะตัวเขาเองเท่านั้น ยังมีสภาพธรรมอื่นๆ เกิดร่วมด้วยและจะต้องเกิดร่วมกับกุศลจิตเท่านั้น กิเลสจะเกิดร่วมกับกุศลจิตเท่านั้น เกิดร่วมกับจิตฝ่ายดีไม่ได้เลย ซึ่งเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

กิเลสมีมากมายหลายประการ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้โดยละเอียดตามที่ปรากฏในพระสูตรต่างๆ เช่น โลภะ (สภาพธรรมที่ติดข้อง ยินดีพอใจ) โทสะ (ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ความไม่พอใจ) โมหะ (ความหลง ความไม่รู้) มานะ (ความสำคัญตน) มิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด) วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัยในสภาพธรรม) อหิริกะ (ความไม่ละอายต่อกุศลธรรม) อโนตตัปปะ (ความไม่เกรงกลัวต่อกุศลธรรม) เป็นต้น ทั้งหมดนั้น เป็นกุศลธรรม เป็นธรรมฝ่ายดำ ให้ผลเป็นทุกข์ ทั้งนั้น ซึ่งจะถูกดับด้วยปัญญาขั้นโลกุตตระ

กิเลส มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่อยู่ในตำรา กิเลส จะเป็นสิ่งที่ดีไม่ได้ ใครก็ตามถ้าบอกว่า กิเลส ดี นั้น แสดงว่า เข้าใจธรรมคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เข้าใจผิด ไม่ตรง

จะเห็นได้ว่า กิเลสในชีวิตประจำวัน มีมากมายมหาศาล แม้แต่ในวันนี้เอง เมื่อเทียบส่วนกันระหว่างกุศล กับ กุศล แล้ว เทียบส่วนกันไม่ได้เลย เพราะมีกุศลจิตเกิดขึ้นมากกว่ากุศลนั่นเอง ทุกครั้งที่กุศลจิตเกิด จะไม่ปราศจากกิเลสเลย ตามแต่ประเภทของกุศลจิต นั้นๆ และสะสมอยู่ในจิตทุกขณะอีกด้วย

การเจริญกุศลทุกประการ ควรที่จะเป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลส ไม่ใช่เพื่อความติดข้องต้องการ หรือ หวังผลของบุญ เมื่อเหตุที่ดีได้สะสมไว้แล้ว ก็ย่อมจะเป็นเหตุให้ผลที่ดีเกิดขึ้น เป็นไปตามควรแก่เหตุที่ได้กระทำแล้ว ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับคนนั้นคนนี้บอก ความเป็นจริงของสภาพธรรม ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้

และขอเพิ่มเติมตรงที่ว่า การที่จะส่งเสริมหรือช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนานั้น ต้องมีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้มีความเข้าใจอย่างถูกต้อง เป็นการรักษาพระธรรมคำสอน ด้วยความเข้าใจถูกเห็นถูกของแต่ละบุคคล ถ้าไม่ศึกษาพระธรรมคำสอน ก็จะไม่มีความเข้าใจอะไรเลย เมื่อไม่มีความเข้าใจอะไรเลย แล้วจะรักษาพระพุทธศาสนาได้อย่างไร ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 20 มี.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
verajakjidamane
วันที่ 20 มี.ค. 2558

อนุโมทนาสาธุครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Patchanon
วันที่ 21 มี.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ประสาน
วันที่ 22 มี.ค. 2558

มีทางเดียวเท่านั้นคือฟังพระธรรมบ่อยๆ ๆ เนื่องๆ ๆ จนกว่าจะเข้าใจถูกเห็นถูก

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Chuapaeng
วันที่ 23 มี.ค. 2558

อนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
wannee.s
วันที่ 23 มี.ค. 2558

พระภิกษุสมัยนี้บวชแล้วไม่รู้พระวินัยมีเยอะมาก ไม่รู้ก็สอนผิด ถ้าเราศึกษาพระวินัยศึกษาธรรมก็จะมีส่วนช่วยให้ท่านไม่ต้องอาบัติ และ ช่วยรักษาศาสนาให้ดำรงอยู่ได้นานด้วย ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Jarunee.A
วันที่ 11 ม.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ