ผู้ไม่ศรัทธาพระอริยสาวก ... โปรดอ่าน
เมื่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจธรรมที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ เมืองคยา แคว้นมคธแล้ว ทรงเสวยวิมุติสุข 7 สัปดาห์ จากนั้นทรงดำเนินไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน กรุงพาราณสี เพื่อแสดงธรรมโปรดท่านปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ด้วยพระปฐมเทศนา ธัมมจักกัปปวตนสูตร ว่าด้วยทางสายกลาง คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ และอริยสัจ ๔
ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม เป็นพระอริยสาวกรูปแรกในพระพุทธศาสนา ต่อมาทรงแสดง อนัตตลักขณสูตร ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 บรรลุเป็นพระอรหันต์ และ ทรงโปรดยสกุลบุตร และสหายทั้ง 54 คน จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด บวชเป็นพระภิกษุด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา รวมมีพระอรหันต์ในโลก ณ เวลานั้น ๖๑ รูป รวมทั้งพระผู้มีพระภาคด้วย แล้วทรงส่งให้ไปเผยแพร่พระพุทธศาสนา
ข้อความใน [เล่มที่ 6] พระวินัยปิฎก มหาวรรคเล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ ๗๒
เรื่องพ้นจากบ่วง
[๓๒] ครั้งนั้น พระผู้พระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นมนุษย์ แม้พวกเธอก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ พวกเธอจงเที่ยวจาริก เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ พวกเธออย่าได้ไปรวมทางเดียวกันสองรูป จงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะครบบริบูรณ์ บริสุทธิ์ สัตว์ทั้งหลายจําพวกที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อย มีอยู่ เพราะไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อม ผู้รู้ทั่วถึงธรรม จักมี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้เราก็จักไปยังตําบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อแสดงธรรม.
จะเห็นได้ว่า แม้ตอนที่พระองค์ตรัสรู้ใหม่ๆ ยังไม่เคยมีใครเคยได้ยินได้ฟังพระธรรมเทศนาที่ละเอียดลึกซึ้ง ยากจะเข้าใจตาม นอกจากผู้มีกิเลสน้อย สะสมปัญญาบารมีมามากพอที่จะเข้าใจได้ พระผู้มีพระภาคยังทรงส่งพระภิกษุผู้เป็นพระอริยสาวกไปเผยแพร่พระพุทธศาสนา เพื่อประโยชน์สุขแก่มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย แม้ท่านพระสารีบุตรขณะเป็นอุปติสสปริพาชก ก็ฟังธรรมสั้นๆ จากท่านพระอัสชิ ได้ดวงตาเห็นธรรม และไปบอกเพื่อนของท่าน โกลิตปริพาชก คือท่านพระโมคคัลลานะ ท่านก็ได้ดวงตาเห็นธรรมเช่นเดียวกัน ถ้าต้องฟังจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น ไม่ให้ฟังพระอริยสาวกแล้ว พระสัทธรรมจะแพร่หลายรุ่งเรืองมาถึงรุ่นพวกเราได้อย่างไร ในพระพุทธพจน์ก็คือพระธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ประกอบด้วยองค์ ๙ คือ
สุตตะ ได้แก่ พระสูตรทั้งหลาย มีมงคลสูตร เป็นต้น รวมถึงพระวินัยปิฎก และ นิทเทส
เคยยะ คือ พระสูตรทั้งหมดที่มีคาถา มีสคาถวรรค เป็นต้น
เวยยากรณะ คือ พระอภิธรรมปิฎก พระสูตรที่ไม่มีคาถาปน และพระพุทธพจน์ที่ไม่จัดเข้าในองค์ ๘
คาถา คือ พระธรรมบท เถรคาถา เถรีคาถา และคาถาล้วนๆ ที่ไม่มีชื่อสูตรในสุตตนิบาต
อุทาน คือ พระสูตร ๘๒ สูตร ที่พระผู้มีพระภาคทรงเปล่งด้วยโสมนัสญาณ
อิติวุตตกะ คือ พระสูตร ๑๑๐ สูตร ที่ขึ้นต้นด้วยคำวา วุตตํ เหตํ ภควา (ข้อนี้สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้แล้ว)
ชาตกะ คือ เรื่องอดีตชาติของพระผู้มีพระภาคและพระสาวก มี อปัณณกชาดก เป็นต้น รวม ๕๕๐ ชาดก
อัพพภูตธรรม คือ พระสูตรที่ประกอบด้วยอัจฉริยอัพภูตธรรม (ธรรมที่ยิ่งด้วยคุณพิเศษ อันน่าอัศจรรย์)
เวทัลละ คือ พระสูตรที่เมื่อถามแล้วๆ ได้ความรู้แจ้ง และความยินดียิ่งๆ ขึ้น มีจูฬเวทัลลสูตรเป็นต้น
พระพุทธพจน์มี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ อันท่านพระอานนท์เรียนจากพระผู้มีพระภาคมา ๘๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เรียนจากพระภิกษุ มีท่านพระสารีบุตร เป็นต้น ๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ พระธรรมขันธ์ คือ พระธรรมแต่ละข้อซึ่งอาจจะเป็นพระสูตร ๑ สูตรก็ได้ เป็น ๑ พระธรรมขันธ์ หรือปัญหา ๑ ข้อ ก็เป็น ๑ พระธรรมขันธ์ คำวิสัชนาข้อหนึ่งๆ ก็เป็นพระธรรมขันธ์หนึ่งๆ เป็นต้น
(จากหนังสือ ปรมัตถธรรมสังเขป หน้า 7 – 8 โดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา)
พระผู้มีพระภาคทรงแต่งตั้งพระอริยสงฆ์เป็นเอตทัคคะต่างๆ กัน ทรงยอมรับความสามารถของผู้สะสมบารมี ทำให้มีชำนาญในด้านต่างๆ กัน อย่างท่านพระกุมารกัสสปะ ผู้เป็นยอดของภิกษุผู้กล่าวธรรมได้วิจิตร (อรรถกถา ปายาสิราชัญญสูตร)
พระอริยสาวกที่นำพระธรรมของพระผู้มีพระภาคที่ท่านเข้าใจดีแล้ว มาเผยแพร่แก่พุทธบริษัทนั้น เหมือนผู้อ่านสาส์นของพระราชา ไม่ใช่ธรรมะของผู้แสดง เหมือนท่านใช้ตะกร้าตักข้าวเปลือกจากข้าวเปลือกกองใหญ่ ถ้าสาวกเป็นพระอริยบุคคลแล้ว สาส์นที่ท่านอ่าน ก็ไม่ผิดเพี้ยน แต่ถ้าท่านยังเป็นปุถุชน ก็ต้องพิจารณาว่า ตรงตามพระธรรมวินัย ที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้วหรือไม่? คือ เป็นไปเพื่อละคลายอกุศล หรือคดงอด้วยอกุศล เพื่อลาภยศ สรรเสริญ และทำไมต้องตัดคำของพระอริยสาวก? มีเหตุผลอะไร? และผู้ตัดเป็นใคร? จึงสามารถตัดธรรมะที่พระอริยบุคคลแสดง ตามที่ฟังจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมศาสดาออกได้
บัดนี้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ๒,๖๐๐ ปี มีผู้อ้างว่าเป็นสาวก แต่จาบจ้วงพระดำรัสของพระองค์ ที่ทรงอนุญาตให้พระอริยสงฆ์ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วออกไปเผยแพร่พระธรรมคำสอน ด้วยการไม่ให้ฟังคำของพระอริยสาวก ที่ปรากฏ แม้ในพระไตรปิฎก แม้แต่คำของท่านพระสารีบุตร ผู้เป็นอัครสาวกเบื้องขวา ผู้มีปัญญารองจากพระผู้มีพระภาค แล้วอย่างนี้จะชื่อว่าเป็นสาวกได้อย่างไร เพราะคำจริงทั้งหมดนั้น เป็นคำสอนของ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสิ้น ทำให้ผู้ฟังธรรมะนั้นแล้วเข้าใจ สามารถประพฤติปฏิบัติตามธรรมะที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว จนได้รับผลสมควรแก่การปฏิบัติธรรมะนั้นๆ
พระธรรมคำสอนจะลบเลือน ก็เพราะผู้ที่แอบอ้างว่าเป็นสาวก แล้วทำการลบหลู่ด้วยการตัดคำสอนของพระเถระและพระเถรีผู้เป็นพระอริยสาวกทั้งหลายออกไป เพื่อให้ตนเองมีแนวทางการสอนแปลกใหม่กว่าคนอื่น เพื่ออะไร ก็คงจะพิจารณาได้เองว่า ผู้สอนอย่างนั้นประพฤติปฏิบัติ เพื่อละคลายกิเลส หรือเพื่อความอยากใหญ่ หรือเพื่อต้องการทำลายพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เหลือน้อยที่สุด โดยตัดธรรมะที่กล่าวโดยพระอริยสาวกออกเสีย ๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ก็จะเหลือเพียง ๘๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แล้วอ้างว่า ฟังพุทธวจนะเท่านั้น
ในปัจจุบันนี้มีใครบ้างได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์ โดยไม่ผ่านพระอริยสาวกที่สืบต่อๆ มาโดยการรักษาพระธรรมวินัยให้อยู่ครบถ้วน ไม่ตัดทอนให้ลดน้อยลงๆ จนในที่สุดก็ไม่เหลือ มีแต่คำพูดของปุถุชนผู้อยากใหญ่ คิดเอาเอง แล้วชักชวนปุถุชนด้วยกันให้หลงผิดช่วยกันทำลายพระธรรมวินัยโดยตรง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนา
ในกุศลวิริยะของอาจารย์กาญจนา เป็นอย่างยิ่ง ครับ อ่านดีมากๆ ครับ
ชัดเจนและเกื้อกูลต่อการรักษาพระธรรมวินัยอย่างยิ่ง
ขออนุโมทนาครับ
จะขัดแย้งกับพระสูตรนี้ไหมครับ
บาลี ทุก. อํ. ๒๐/๙๒/๒๙๒. ภิกษุทั้งหลาย ! พวกภิกษุบริษัทในกรณีนี้, สุตตันตะเหล่าใด ที่กวีแต่งขึ้นใหม่ เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรื่องนอกแนว เป็นคำกล่าวของสาวก, เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่; เธอจักไม่ฟังด้วยดี ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และจักไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน. ส่วนสุตตันตะเหล่าใดที่เป็นคำของตถาคต เป็นข้อความลึก มีความหมายซึ้ง เป็นชั้นโลกุตตระว่าเฉพาะเรื่องสุญญตา, เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่; เธอย่อมฟังด้วยดี ย่อมเงี่ยหูฟัง ย่อมตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และย่อมสำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน.
เรียนความคิดเห็นที่ ๑๗ ครับ
ในพระสูตรที่คุณ Nutchapong อ้างถึงนี้ ต้องเข้าใจว่า สาวก ในที่นี้ เป็นสาวกในภายนอกพระพุทธศาสนา ไม่ใช่พระสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้น ก็ต้องเข้าใจในแต่ละที่ด้วยว่า มีความมุ่งหมายอย่างใด ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าสนใจใส่ใจตั้งใจฟังคำของสาวกในภายนอกพระพุทธศาสนา แต่กลับไม่สนใจศึกษาพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นบริษัทที่ดื้อด้าน ในทางตรงกันข้าม เมื่อไม่ให้ความสำคัญกับคำของสาวกในภายนอกพระพุทธศาสนา แต่เห็นประโยชน์ของพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งใจฟังตั้งใจศึกษาด้วยความเคารพ เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก นั่น ก็เป็นบริษัทที่ไม่ดื้อด้าน คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเป็นใครกล่าว ก็เป็นคำที่ควรฟังควรศึกษาเป็นอย่างยิ่ง ครับ
ขอเชิญศึกษาเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ
บริษัทที่ดื้อด้านและไม่ดื้อด้าน
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร
ขอเชิญศึกษาพระธรรม...
รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์
การที่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ทำให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตทุกขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ควรสั่งสมไปทุกภพทุกชาติ นั่นก็คือ กุศล (รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ในชีวิตประจำวันด้วย)