อย่ามีความหวัง ความอยาก
เช้านี้ได้ฟังพระรูปหนึ่ง ซึ่งท่านมรณภาพไปนานแล้ว ท่านกล่าวออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งหนึ่งว่า อย่ามีความหวัง ความอยาก ก็จะไม่เป็นทุกข์ ซึ่งก็เป็นจริงตามที่ท่านกล่าว แต่สำหรับปุถุชนคงเป็นไปไม่ได้แน่นอน ถ้าผู้ฟังขาดความเข้าใจพระธรรมที่ถูกต้อง ก็คิดว่าทำได้ และหาวิธีการต่างๆ ที่จะทำให้ ไม่อยาก ไม่หวัง
ขอเรียนถามว่า ความหวัง เกิดจาก ความติดข้อง หรือ โลภะ ใช่ไหมครับ กรุณาช่วยให้ความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องนี้ตามหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาัสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความหวังเป็นไปได้ทั้งกุศลและอกุศล ความหวัง ความพอใจที่เป็นฉันทะในการศึกษาพระธรรมอันเนื่องมาจากปัญญาที่เห็นประโยชน์ของการขัดเกลากิเลส นั่นย่อมเป็นความหวังที่เป็นฉันทะที่เกิดกับกุศลจิต อันมีปัญญาเป็นรากฐาน
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ ๕๓๔
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้ามีความไม่ตกต่ำ ทราบชัดถึงความไม่ตกต่ำเป็นเวลานาน (พระโสดาบัน) อนึ่งความหวังเพื่อความเป็นพระสกทาคามีของข้าพระพุทธเจ้ายังคงมีอยู่.
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ ๕๕๐
ด้วยบทว่า อาสา จ ปน เม สนฺติฏฺติ นี้ ท่านแสดงว่า เราไม่หลับประมาทว่า เราเป็นโสดาบัน ยังกาลให้ล่วงแล้ว ก็เราได้เจริญวิปัสสนาเพื่อประโยชน์แก่พระสกทาคามี อยู่อย่างมีความหวังว่า เราจะบรรลุในวันนี้ๆ .
ความหวังที่เป็นอกุศล คือความต้องการ พอใจที่เป็นโลภะที่ติดข้อง อยากจะเข้าใจ อยากจะรู้ อยากจะดับกิเลส เพราะกิเลสคือโลภะสามารถติดข้องได้ทุกอย่างยกเว้นโลกุตตรธรรมครับ
ถูกคืออย่างไร ผิดคืออย่างไร
อกุศลเป็นสิ่งที่ไม่ถูก กุศลเป็นสิ่งที่ถูก แต่เราจะต้องเข้าใจความจริงของชีวิตว่า อกุศลมีมากในชีวิตประจำวันเพราะยังเป็นปุถุชน เพราะฉะนั้นจึงเป็นธรรมดาที่จะเกิดอกุศลบ้าง และเกิดกุศลสลับบ้าง เราไม่สามารถไปตัดสินได้ว่าขณะไหนเป็นกุศลหรืออกุศล ขณะไหนเป็นความหวังที่เป็นกุศลหรืออกุศล ถ้าเป็นเราไปตัดสิน แต่การอบรมปัญญารู้ลักษณะสภาพธรรมในขณะนั้นย่อมจะบอกได้ว่าเป็นกุศลหรืออกุศลครับ
การอบรมปัญญาที่ถูกคือเข้าใจความจริงที่เกิดแล้ว ไม่ใช่เป็นการบังคับที่จะไม่ให้อกุศลเกิดเพราะเป็นอนัตตา เป็นไปตามเหตุปัจจัย เข้าใจความจริงขณะที่สภาพธรรมเกิดว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา หนทางที่ถูกคือฟังต่อไปว่าทุกอย่างเป็นธรรมแม้อกุศล ก็จะเบา ไม่มีเราไปจัดการ ก็จะไม่เดือดร้อนกับสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นอกุศลซ้อนอกุศล สำคัญที่ความเข้าใจว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราครับ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้แสดงเรื่องความหวังและความไม่หวังไว้ น่าพิจารณาครับ เพราะพระองค์ทรงแสดงว่าจะหวังหรือไม่หวังสำคัญที่เริ่มจากความเห็นถูกจึงจะบรรลุธรรมได้ครับ ลองอ่านดูนะครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ ... ผู้มีความเห็นผิดย่อมไม่บรรลุ [ภูมิชสูตร]
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความอยาก ความหวัง เป็นธรรมที่มีจริง ซึ่งก็คือ โลภะ ความติดข้องต้องการนั้นเอง ซึ่งมีหลากหลายชื่อที่แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมประเภทนี้
ที่หวังสิ่งนั้นสิ่งนี้ อยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ก็เพราะยังมีความติดข้องต้องการ ยังไม่สามารถดับได้อย่างหมดสิ้น เมื่อได้เหตุปัจจัย ก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่
ตราบใดที่ยังมีความอยาก ความหวัง ความติดข้องต้องการ นั่นหมายความว่ายังเป็นผู้ที่ไม่ปราศจากกิเลส ซึ่งจะต้องเป็นทุกข์อีกต่อไปในสังสารวัฏฏ์ เพราะเหตุว่าผู้ที่จะดับโลภะได้อย่างเด็ดขาดนั้น ต้องเป็นพระอรหันต์ เท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ที่ยังมีโลภะ จึงยังไม่พ้นไปจากทุกข์ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ประสบกับทุกข์ต่างๆ ท้้งทางกาย และ ทางใจ
ความหวัง ความอยาก เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย การดับกิเลส ไม่ใช่ด้วยการบังคับบัญชา ไม่ใช่การทำ ไม่ได้เป็นไปตามใจชอบ เพราะถ้าทำได้ ทุกคนคงไม่มีทุกข์ แต่ที่เป็นเช่นนั้น เพราะทำไม่ได้ แต่มีหนทางที่จะเป็นไปเพื่อดับกิเลส มี โลภะ เป็นต้นได้ คือ หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา
ถ้ามีปัญญาที่จะเห็นถูกในความจริงว่าไม่ใช่เรา เพียงละคลายการยึดถือ นามธรรม รูปธรรม ว่าเป็นตัวตน และสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ในวันหนึ่งๆ ก็จะทำให้ความทุกข์เบาบางได้
โลภะ ความอยาก ความหวัง ความต้องการ ซึ่งเป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวงนั้น ต้องปัญญาเท่านั้นจึงจะละได้ แล้วปัญญาจะมาจากไหน จะเจริญขึ้นได้อย่างไร ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งจะต้องเริ่มตั้งแต่ในขณะนี้ โดยที่ไม่ขาดการฟังพระธรรมในชีวิตประจำวัน นั่นเอง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอกราบนมัสการอย่างสูงสุดแด่พระรัตนตรัย
กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาอาจารย์ทั้งสองท่าน ครับ.