อยากทราบว่าโชคดีและไม่ดีในพุทธศาสนา เถรวาทมีไหมครับ
ผมทราบมาว่าไม่มีการบังเอิญในพุทธศาสนา แล้วโชคดีและไม่ดีในพุทธศาสนามีไหมครับ มีในพระไตรปิฎกไหมครับ
ขอบคุณครับ สาธุ สาธุ สาธุครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาัสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พุทธศาสนาเป็นเรื่องของเหตุและผล ทุกสิ่งไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ หรือเป็นเรื่องบังเอิญ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ล้วนมีเหตุที่ทำให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น ดังที่ท่านพระอัสสชิแสดงธรรมแก่ท่านพระสารีบุตรว่า “ธรรมะทั้งหลายย่อมเกิดจากเหตุ” นั่นก็คือ การที่ทุกคนเกิดมาแตกต่างกัน เป็นเพราะได้กระทำเหตุ คือ ทำกรรมมาต่างกัน กรรมที่ได้กระทำไว้แล้วนั่นเอง เป็นเหตุให้มีรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ ต่างกัน มีอุปนิสัยดีเลวต่างกัน กรรมที่กระทำไว้แล้วนั่นเองเป็นเหตุให้ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ ได้รับความสุข ทุกข์ สรรเสริญ นินทา ท่านจะเข้าใจสิ่งที่กล่าวมาแล้วนี้ ก็ต่อเมื่อได้ศึกษาพระอภิธรรมโดยละเอียด พระอภิธรรมเป็นคำสอนเกี่ยวกับสภาวธรรมที่มีอยู่จริง หรืออีกนัยหนึ่งคือสัจจธรรมนั่นเอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญความเพียรอบรมพระบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัป เพื่อตรัสรู้ สัจจธรรม หรือ ความจริงของสิ่งทั้งปวง นี้
---------------------------------------------
โชคดี ฤกษ์ดี ไม่มี มีแต่ ขณะที่ทำกุศล ขณะนั้นเป็นฤกษ์ดี เวลาดี ครับ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๕๙๑
๑๐. สุปุพพัณหสูตร
ว่าด้วยเวลาที่เป็นฤกษ์ดี
[๕๙๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจในเวลาเช้า เวลาเช้านั้น ก็เป็นเวลาดีของสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ในเวลากลางวัน เวลากลางวันนั้นก็เป็นเวลาดีของสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดพระพฤติสุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ในเวลาเย็น เวลาเย็นนั้น ก็เป็นเวลาดีของสัตว์เหล่านั้น.
ธรรมทั้งหลายย่อมมีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น ไม่ใช่เหตุบังเอิญ แม้ศรัทธาและความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นก็เช่นกัน เกิดจากเหตุปัจจัย ไม่ใช่บังเอิญ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑-หน้าที่ ๑๒๖
เมื่อเขาเรียนอย่างนั้นแล้ว, พระเถระจึงกล่าวคาถาว่า
"ธรรมเหล่าใด มีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตตรัส
เหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และเหตุแห่งความดับแห่ง
ธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติตรัสอย่างนี้."
ข้อความบางตอนจาก...คำบรรยายในรายการ "แนวทางเจริญวิปัสสนา"
เรื่องไม่มีคำว่าบังเอิญ
โดย...ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
"มีท่านผู้ฟังบางท่าน มีความคิด มีความเชื่อในเหตุการณ์ สิ่งแวดล้อมภายนอก กล่าวว่า มีเหตุการณ์จริงๆ ที่เกิดขึ้น เวลาที่โดยสารทางรถยนต์ มีการแลกเปลี่ยนที่นั่งกัน ทำให้คนที่แลกเปลี่ยนที่นั่งแล้วนั้น ไม่ได้รับอันตรายจากอุบัติเหตุนั้นคล้ายๆ กับว่าจะเป็นการบังเอิญที่ว่า ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนที่นั่งกัน ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุนั้น ซึ่งก็ทำให้บุคคลที่แลกเปลี่ยนที่นั่งแล้วนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บ
ถ้าท่านเป็นผู้ที่มั่นคงในเรื่องผลของกรรมจริงๆ ท่านจะทราบว่า ทุกท่านนี้สะสมมาแล้วทั้งนั้น ทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม แล้วแต่ว่ากรรมใดพร้อมด้วยเหตุที่สมบูรณ์ ด้วยปัจจัยที่สมบูรณ์ที่จะให้ผลเกิดขึ้น ผลก็เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น ถ้าท่านเป็นผู้ที่มีความเข้าใจอย่างถูกต้องในเรื่องของเหตุผล ตามความเป็นจริง ท่านก็จะทราบว่า ผู้ที่รักษาตน ก็คือ ผู้ที่กระทำสุจริตกาย วาจา ใจ แต่ผู้ที่ไม่รักษาตนถึงแม้ว่าคนอื่นจะปกป้องคุ้มครองรักษาสักเท่าไร เมื่อถึงคราวที่อกุศลกรรมจะให้ผล ก็ย่อมทำให้ท่านได้รับผลของอกุศลกรรมนั้น
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาัสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น เป็นความจริง เป็นสัจจธรรม ที่ทำให้ผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษา มีความเข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริง เป็นปัญญา ของตนเอง, ธรรมไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร จะเห็นได้ว่าแต่ละบุคคลย่อมมีกุศลกรรม อกุศลกรรมตามการสะสม และมีการได้รับผลของกรรม ด้วย เมื่อศึกษาพระธรรมไปตามลำดับก็จะมีความเข้าใจ ว่า เจตนาเป็นกรรม เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่สะสมอยู่ในจิตทุกๆ ขณะ กรรมที่ได้กระทำแล้ว ทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม เมื่อได้โอกาสที่จะทำให้ผลเกิดขึ้นผลก็เกิดขึ้น ตามสมควรแก่เหตุ เริ่มตั้งแต่จิตขณะแรกในภพนี้ชาตินี้ (ปฏิสนธิจิต) ก็เป็นผลของกรรม ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ ก็เป็นผลของกุศลกรรม แต่ถ้าเกิดในนรก อย่างเช่นพระเทวทัต เป็นต้น ย่อมเป็นผลของอกุศลกรรม ซึ่งไม่มีใครทำให้เลย แต่ต้องเป็นไปตามกรรมที่ตนเองได้กระทำไว้ นอกจากนั้นแล้ว ขณะที่ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ที่น่าปรารถนาบ้าง ไม่น่าปรารถนาบ้าง ล้วนเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้วทั้งนั้น เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครทำให้
เมื่อได้ศึกษาอย่างนี้แล้ว ควรอย่างยิ่งที่จะสะสมแต่สิ่งที่ดีงามในชีวิตประจำวัน ไม่ละเลยโอกาสของการทำความดี แม้ว่าจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม ประการที่สำคัญ ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน จึงจะเป็นเหตุให้กุศลธรรมเจริญขึ้น ได้ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอกราบนมัสการอย่างสูงสุดแด่พระรัตนตรัย
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างสูงยิ่ง
กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาอาจารย์ทั้งสองท่าน ครับ.
เหตุต้องตรงกับผล ต้องมั่นคง แล้วค่อยๆ เข้าใจ ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น การค่อยๆ คลายความเป็นตัวตนจึงเกิดขึ้น กราบอนุโมทนาค่ะท่านอาจารย์