การทำบุญต่ออายุ
เมื่อเช้านี้ (26 เม.ย.58) ดูรายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง มีพระนักเทศน์ชื่อดังมาบรรยายเกี่ยวกับเรื่อง การทำบุญต่ออายุ ซึ่งสรุปได้ว่า การทำบุญต่ออายุนั้นทำได้จริง คือ ถ้าเจ้ากรรมนายเวรยังไม่มาทวงเอาคืน หรือพูดตามประสาชาวบ้านว่ายังไม่ถึงฆาต ก็ต่อได้ โดยให้สวดนพเคราะห์ หรือสวดโพชฌงค์ ตามประสบการณ์ที่ท่านได้เคยใช้มาแล้วและเป็นจริง โดยยกตัวอย่าง กรณีที่ถึงฆาต คือ แพะตัวหนึ่งจะถูกประหารชีวิต (น่าจะถูกบูชายัญ) แต่แพะก็ไม่เสียใจ เพราะคิดว่าตัวเองจะได้หมดกรรมเพราะทำกรรมมา ทำให้ผู้ที่จะฆ่าปล่อยแพะไป เพราะกลัวว่าตัวเองก็จะถูกฆ่าบ้างถ้าฆ่าแพะตัวนั้น แต่แพะตัวนั้นก็ถูกธรรมชาติลงโทษจนถึงแก่ความตายเพราะถึงฆาต ทำให้ผมสงสัยและข้องใจมาก เพราะท่านเป็นนักเทศน์ชื่อดังมีผู้คนรับฟังรับชมมาก ซึ่งผมมองว่าไม่ค่อยถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่าไรนัก แต่ผมก็ยังเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า
กรณีนี้ท่านวิทยากรช่วยอธิบายเพิ่มเติมได้มั๊ยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การกระทำกุศลเป็นไปเพื่อละ สละ ขัดเกลากิเลส ไม่ใช่เพื่อตนเอง แต่เพื่อประโยชน์ของผู้อื่น คือ ช่วยสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ การปล่อยปลา จึงแสดงถึงความเมตตาของผู้ปล่อยที่ต้องการช่วยเหลือสัตว์ และ การปล่อยสัตว์ไม่ใช่ต่ออายุของผู้ปล่อย เพราะการจะสิ้นชีวิตก็ตามกรรม คือ จุติจิตของผู้นั้นว่าจะเกิดเมื่อไหร่ ไม่ใช่เพราะปล่อยปลาจึงจะทำให้อายุยืนขึ้นครับ
การสะเดาะห์เสริมบารมี ก็ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะไม่ใช่เป็นไปในเรื่องเหตุผล เพราะไม่ตรงตามเรื่องกรรมและผลของกรรมตามความเป็นจริงครับ และเป็นเรื่องที่จะได้ ติดข้อง ในการจะเสริมดวง สะเดาะห์เคราะห์ ก็เป็นเรื่องของกิเลส ไม่ใช่เรื่องละคลาย ก็ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธศาสนาครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงตรงตามสภาพธรรม เป็นไปเพื่อละคลายขัดเกลากิเลส พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงแสดงพระธรรมโปรดเวไนยสัตว์ ตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา ทรงพร่ำสอนอยู่บ่อยๆ เนืองๆ ก็เพื่อให้ผู้ฟังมีความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง พร้อมทั้งน้อมประพฤติปฏิบัติตาม จนกระทั่งถึงความเป็นผู้หมดจดจากกิเลสได้ในที่สุด ไม่ใช่สอนให้ทำอะไรด้วยความไม่รู้
สิ่งที่ไม่มีนิมิต ไม่มีเครื่องหมายบ่งบอกให้รู้ล่วงหน้า มีอยู่ ๕ อย่าง คือ ชีวิต จะเป็นอยู่ต่อไปอีกนานเท่าใด, จะตายเมื่อใด, จะตายที่ไหน, จะตายด้วยโรคอะไร และตายแล้วจะไปเกิด ณ ที่ใด ไม่สามารถจะรู้ได้เลย อย่างไรๆ แล้ว ทุกคนก็จะต้องตาย จะต้องตายเหมือนอย่างคนอื่นๆ ที่ตายไปแล้ว นั่นแล จะเร็วหรือช้า ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ความตาย เป็นความจริงที่ทุกคนหลีกหนีไม่พ้น เมื่อถึงคราวตาย ใครๆ ก็ช่วยไม่ได้ ใครๆ ก็ต้านทานไว้ไม่ได้ แต่ช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ ควรที่จะเป็นโอกาสของการสะสมคุณงามความดี เจริญกุศลประการต่างๆ ตามกำลังความสามารถของตนเองที่พอจะเป็นไปได้ รวมถึงการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง ซึ่งไม่มีใครทราบได้ว่าจะเป็นวันไหนและเวลาใด ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ....
ขอขอบพระคุณท่านทั้งสองมากครับที่ช่วยอธิบาย ผมจะนำไปเผยแพร่ต่อไปให้ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้าครับ
ขออนุโมทนาครับ
เพราะกิเลส ความเป็นตัวตน ไม่ฟังพระธรรม ติดต่อไปในบ่วงทุกข์ เป็นธรรมดา เป็นธรรมะ สังสารวัฎฎ์จึงยืดยาวต่อไป
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาอาจารย์ทั้งสองท่านเป็นอย่างยิ่ง ครับ.
การรักษาศีล 5 ชื่อว่าให้ความไม่มีเวร ไม่มีภัย อย่างเช่น ข้อหนึ่งไม่ฆ่าสัตว์ก็เป็นเหตุให้คนรักษาศีลอายุยืน ส่วนคนที่อายุสั้นมาจากกรรมในอดีตที่ชอบฆ่าสัตว์ทำบาป ค่ะ
ไม่คิดที่จะฆ่าสัตว์ไม่มีเจตนา แต่สัตว์นั้นตายโดยที่เรามองไม่เห็นผิดศีลข้อ 1 ไหมคะ
บุคคลใด มีการสดับ "พระธรรม" เนืองๆ และ ตรึกตรอง ให้ถี่ถ้วน เข้าใจจริงๆ บุคคลนั้นย่อม จะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก สิ่งใดที่กระทำ เป็นกุศล หรือ เป็นอกุศล ก็ทราบด้วยตนเอง
ขอบพระคุณ และ อนุโมทนา กุศลธรรม ทุกท่านครับ