ชีวิตเหมือนเงา
เพราะไม่รู้ สิ่งที่มีจริงขณะนี้ จิตเกิดดับสืบต่อตลอดเวลาก็ไม่รู้ อยู่ในโลกของเงา ขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏก็เหมือนเงา เพราะฉะนั้น หลงเงา แล้วยัง จำเงา ได้อีก ทั้งๆ ที่ตัวจริงเกิดดับตลอดเวลา ก็ไม่รู้ เกิดดับๆ ดับคือหมด หมด หมด ไม่เหลือ แต่ เพราะ ไม่รู้ ตามความเป็นจริง จึงหลงเงาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปเป็นวิญญาณจริยา เมื่อมีการเกิดก็ต้องมีเห็น มีได้ยิน.มีคิดนึก เพราะไม่รู้จึงหลงเงา ความเป็นไปของจิตตามการสะสมเป็นอกุศล ซึ่งเป็นอัญญาณจริยา จนกว่าปัญญาขั้นวิปัสสนาเกิดเห็นความเกิดดับของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นญาณจริยา แม้แต่อรูปพรหมก็ไม่สามารถรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ มีแต่ปัญญาที่เห็นโทษของรูป จึงอบรมเจริญปัญญาหน่ายในรูป และเมื่อปฏิสนธิจึงเกิดในอรูปพรหมภูมิ แต่ไม่มีปัญญาที่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงซึ่งสามารถดับกิเลสได้ ยังคงหลงเงาอยู่ในสังสารวัฏฏ์ จนกว่าจะอบรมเจริญปัญญารู้สภาพธรรมตามจริงจนกว่าจะเป็นญาณจริยา
จะมีชีวิตเหลืออยู่อีกเท่าไร เพราะชีวิตที่ผ่านมาหลงอยู่ในเงา หลงอยู่ในนิมิต นิมิต คือความสืบต่อของสภาพธรรม ถ้าไม่มีสภาพธรรมสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะปรากฏด้วยอัตตสัญญาที่จำไว้ได้อย่างไร สภาพธรรมเกิดดับแต่นิมิตเหมือนมีสิ่งต่างๆ อยู่ หลงเงาจนกว่าปัญญาค่อยๆ รู้ความจริง ชีวิตที่เหลืออยู่ เพื่อฟังธรรม เพื่อรู้ความจริงที่ทรงแสดงไว้ สภาพธรรมเกิดตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรา ชีวิตที่ประเสริฐคือ มีโอกาสได้เข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ
กราบเท้า บูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ..
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ สัจจะ สาระ และประโยชน์จะเกิดต่อผู้ที่ใฝ่หาสิ่งนี้ หากผู้ที่ไม่ใฝ่หาสิ่งนี้ก็คือการสะสมที่จะไม่สนใจต่อไป ไม่ฟัง ไม่รู้ และก็จะไม่ได้รับประโยชน์ นี่คือธรรมดา เป็นธรรมะ
เพราะมี อวิชาความไม่รู้เป็นเหตุ จึงมีการเกิดแสวงหาอันมีวัฎฎะเป็นมูลต่อไปไม่สิ้นสุด ตราบเมื่อพบและรับพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง และเคารพอย่างจริงใจ เมื่อนั้นกรงและกลีบแห่งวัฎฎะจะค่อยๆ ลอกออกตามแต่คุณธรรมจนหมดจด ยาวนานสักเพียงไหนไม่อาจรู้ได้เพราะเป็นธรรมมะปรุงแต่งในขณะนี้ จึงไม่ควรขาดการฟังธรรม ขออนุโมทนา ท่านผู้ตั้งกระทู้ครับ