ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย

 
nattawan
วันที่  6 พ.ค. 2558
หมายเลข  26513
อ่าน  1,098

คำว่า เหตุปัจจัย มีความหมายรวมถึงอะไรบ้างคะ ขอบคุณค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 6 พ.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อกล่าวถึง ปัจจัย แล้ว มุ่งหมายถึงสิ่งที่อุปการะเกื้อกูลหรือเป็นเหตุให้ผลเกิดขึ้นเป็นไป ซึ่งกว้างขวางมากถึง ๒๔ ปัจจัย เหตุ ก็เป็นปัจจัยหนึ่งในปัจจัยเหล่านั้นด้วย ที่เรียกว่า เหตุปัจจัย ได้แก่ เจตสิก ๖ ประเภท คือ โลภะ โทสะ โมหะ และอโลภะ อโทสะ อโมหะ อันเป็นเหตุให้ผลธรรมเกิดขึ้นเป็นไป ได้แก่ จิต และเจตสิกอื่นๆ ที่เกิดร่วมกัน ตลอดจนถึงรูปที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยนั้น ด้วย

แต่ถ้ากล่าวอย่างกว้างๆ ว่า สภาพธรรมเกิดเพราะเหตุปัจจัย เหตุปัจจัยในที่นี้ก็เป็นการกล่าวโดยรวมให้เข้าใจว่า สภาพธรรมไม่ได้เกิดขึ้นเองลอยๆ แต่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยหลายอย่าง ที่จะเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลให้สภาพธรรมนั้นๆ เกิดขึ้นเป็นไป เช่น ขณะที่เห็นเกิดขึ้น ก็ต้องอาศัยทั้งที่เกิดของจิตเห็น ต้องมีเจตสิกธรรมเกิดร่วมด้วย ต้องมีสีเป็นอารมณ์ ต้องมีกรรมที่ได้กระทำแล้วในอดีตให้ผลทำให้จิตเห็นเกิดขึ้นด้วย

ข้อความบางตอนจากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ดังนี้

นามและรูปอาศัยกันเกิดขึ้นโดยปัจจัย

ท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่า สภาพธรรมทั้งหลาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน และสภาพธรรม ซึ่งเป็นปรมัตถธรรม ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมบ้าง รูปธรรมบ้างเท่านั้น แต่ว่าสภาพธรรมที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนามธรรมหรือไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมก็ตาม อาศัยกันและกันเกิดขึ้นโดยปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง สภาพธรรมที่เกิดแล้วจะไม่เป็นปัจจัยให้สภาพธรรมอื่นเกิด ไม่มี และสภาพธรรมใดก็ตามซึ่งเกิดแล้ว จะเกิดโดยปราศจากปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้น ก็ไม่มี

เพราะฉะนั้น ทั้งนามธรรม และรูปธรรมเป็นสภาพธรรม ที่ต่างกันก็จริง แต่ว่าอาศัยกันและกันเกิดขึ้นเป็นไปโดยละเอียด โดยสภาพของลักษณะของธรรมนั้นๆ ซึ่งถ้าศึกษาโดยละเอียด ก็จะเห็นได้ว่า ขณะจิตหนึ่งๆ ซึ่งเกิดขึ้น จะมีปัจจัยหลายประการที่ทำให้เกิดขึ้น เช่น เหตุปัจจัย ที่ได้เคยกล่าวถึงแล้ว ได้แก่เจตสิก ๖ ดวง คือ

- อกุศลเจตสิก ๓ ที่เป็นเหตุ ได้แก่ โลภเจตสิก ๑ โทสเจตสิก ๑ โมหเจตสิก ๑

- โสภณเหตุ ๓ คือ อโลภเจตสิก ๑ อโทสเจตสิก ๑ อโมหเจตสิก ๑

ไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะโลภะเท่านั้น มีเจตสิกอื่นเป็นปัจจัยเกิดร่วมด้วย นี่ก็แสดงให้เห็นว่า โลภเจตสิกที่เกิดเป็นปัจจัยให้สภาพธรรมอื่นเกิดร่วมด้วย คือเป็นปัจจัยที่ทำให้จิตเป็นโลภมูลจิตเกิด และทำให้อกุศลเจตสิกอื่นๆ เกิดร่วมด้วยเช่น ทำให้ความเห็นผิดเกิดร่วมด้วยก็ได้ ทิฏฐิเจตสิก หรือ ทำให้ความสำคัญตน คือ มานะ เกิดร่วมด้วยก็ได้ นอกจากนั้น เวลาที่โลภเจตสิกเกิดกับโลภมูลจิตและเจตสิกอื่นๆ ซึ่งเป็นสัมปยุตตธรรมเกิดขึ้นพร้อมกันแล้ว ยังเป็นปัจจัยให้รูปเกิดขึ้นด้วย

นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ทั้งนามธรรมและรูปธรรมซึ่งเกิดขึ้นเป็นไปตามปกติในชีวิตประจำวันนี้ แต่ละขณะที่เกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว ถ้าได้ทราบถึงความละเอียดซึ่งสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดจะเกิดขึ้นโดยอาศัยสภาพธรรมใดเป็นปัจจัยแล้ว จะทำให้เห็นความเป็นอนัตตาจริงๆ ซึ่งแม้จะเป็นสภาพธรรมที่เกิด – ดับอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังต้องอาศัยความละเอียดของปัจจัยหลายปัจจัย สภาพธรรมนั้นจึงจะเกิดขึ้นได้.

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 6 พ.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นหนึ่ง ไม่เป็นสอง หมายความว่าเป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น เปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้ ธรรมไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย (สิ่งที่อุปการะเกื้อกูลให้สภาพธรรมหนึ่งๆ เกิดขึ้นเป็นไป) จริงๆ ไม่มีใครสามารถบังคับให้ธรรมอะไรเกิดขึ้นได้เลย บังคับให้เห็นก็ไม่ได้ เพราะเห็นเกิดเพราะเหตุปัจจัยจัยหลายอย่าง เช่น มีกรรมเป็นปัจจัย มีที่อาศัยให้จิตเห็นเกิด มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เป็นต้น แม้แต่ปัญญาเอง ซึ่งเป็นสภาพธรรมฝ่ายดี ที่เข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริง ก็เกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุปัจจัยเช่นเดียวกัน ไม่ใช่ว่ามีตัวตน ที่จะไปบังคับให้ปัญญาเกิดได้ ต้องอาศัยเหตุหลายอย่างหลายประการด้วยกัน ต้องมีศรัทธาที่จะฟัง ที่จะศึกษาเพราะเคยเห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริงมาแล้ว จึงทำให้เป็นผู้ที่สนใจที่จะฟัง ที่จะศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจอย่างถูก ต้องตามความเป็นจริง จึงฟังจึงศึกษา เมื่อได้ฟัง ได้ศึกษา ปัญญาย่อมจะเจริญ ขึ้นไปตามลำดับ โดยไม่มีตัวตนที่จะไปบังคับให้ปัญญาเกิดเลย แต่เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัยจริงๆ ขอให้เข้าใจว่าไม่มีใครสร้าง ไม่มีใครเจริญ ไม่มีใครทำ มีแต่ธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้น สำคัญที่ความเข้าใจถูกเห็นถูกจริงๆ ว่าเป็น ธรรมที่มีจริง สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เกิดมา เพื่อสะสมความเข้าใจถูก และน้อมประพฤติในสิ่งที่ดีงามครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
peem
วันที่ 6 พ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nattawan
วันที่ 6 พ.ค. 2558

ขอบคุณ และอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ms.pimpaka
วันที่ 6 พ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
tanrat
วันที่ 7 พ.ค. 2558
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 7 พ.ค. 2558

ธรรมะทุกอย่างเกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีอะไรที่เกิดโดยไม่มีเหตุปัจจัย เช่น ขณะที่เห็นสิ่งที่ไม่ดีเป็นอกุศลวิบาก เป็นผลของกรรม ได้ยินเสียงไม่ดีเป็นผลของกรรม ตรงข้ามขณะที่เห็นสิ่งที่ดีเป็นกุศลวิบาก ขณะที่ได้ยินเสียงที่ดีเป็นกุศลวิบาก ไม่มีใครทำนอกจากกรรมที่เราทำเองทั้งดีและไม่ดี ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
j.jim
วันที่ 20 พ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Jarunee.A
วันที่ 13 พ.ย. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ