ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๙๔
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๙๔
@ชีวิตของทุกคนไม่ใช่ว่าจะยืนยาวนานมากเลย เพราะเหตุว่าชีวิตดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียวแล้วก็ดับ เมื่อกี้นี้ก็ดับแล้ว แล้วก็มีจิตเกิดต่อ แล้วจิตขณะนั้นก็ดับ แล้วก็มีจิตเกิดต่อ
@การที่จะดับกิเลสได้ ต้องรู้ ถ้าไม่รู้ก็ดับกิเลสไม่ได้ เพราะกิเลสเกิดเพราะความไม่รู้ เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ถึงแม้ว่าอกุศลธรรมจะเกิดบ่อย เป็นประจำทุกวัน ก็ไม่รู้สึกว่าเป็นอกุศล อย่างทางตาที่กำลังเห็นนี้ แล้วไม่รู้ความจริง ก็ไม่รู้ว่านั่นแหละเป็นอกุศลธรรมแล้ว ความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ จึงทำให้เกิดความพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง
@ถึงแม้ว่าในวันหนึ่งๆ จะมีอกุศลมาก ก็ยังมีโอกาสที่ได้กระทำกุศล หรือว่าในวันหนึ่งๆ ที่มีกุศลหลายชั่วโมง อกุศลก็ยังเกิดแทรกได้อย่างรวดเร็ว ถ้าไม่เป็นผู้ที่ละเอียด ขณะที่เป็นอกุศลก็ผ่านไป โดยที่ไม่รู้ว่า ขณะนั้นเป็นขณะที่อกุศลธรรมกำลังปรากฏให้รู้ว่าตนเองยังมีอกุศลธรรม
@วันหนึ่งๆ จะเห็นได้ว่า กุศลจิตที่เกิดขึ้นกระทำกุศลกรรมต่างๆ เป็นไปตามฉันทะ (ความพอใจ) ของแต่ละบุคคลที่ได้สะสมมา ซึ่งบางท่านก็อาจจะช่วยเหลือบุคคลอื่น หรือว่าบางท่านก็อาจจะให้ทานวัตถุสิ่งของเป็นประโยชน์แก่คนอื่น กุศลธรรมเป็นปรมัตถธรรมเป็นสภาพธรรมที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ตามฉันทะทั้งในเรื่องของทาน ในเรื่องของศีล ในเรื่องของการไตร่ตรองเหตุผลในธรรม ซึ่งพระธรรมนี้จะต้องไตร่ตรองให้ได้เหตุผลจริงๆ มิฉะนั้นก็อาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อนไปได้
@เวลาที่เป็นอรหันต์แล้ว จะไม่มีการกระทำใดๆ เลยที่เป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรม
@กุศลธรรมย่อมเป็นที่สรรเสริญชมเชย ไม่ว่าในขณะที่กำลังกระทำซึ่งมีผู้เห็น หรือแม้แต่ในกาลภายหน้า คือ ไม่ว่ากาลเวลาจะล่วงไป จะ ๑๐๐ ปี ๑,๐๐๐ ปี ๒,๕๐๐ กว่าปี กุศลธรรมหรือธรรมฝ่ายดีก็เป็นธรรมฝ่ายดี ธรรมใดเป็นธรรมที่ประเสริฐ ธรรมนั้น ก็เป็นธรรมที่ประเสริฐ
@ธรรมทั้งหมด ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตนเลย เป็นเรื่องของกุศลธรรมและอกุศลธรรมซึ่งเป็นเหตุ และกุศลวิบาก อกุศลวิบากซึ่งเป็นผล และแม้การที่จะเป็นผู้ที่เลิศกว่าคนทั้งหลาย โดยการที่ดับกิเลสหมดสิ้นแล้ว ก็โดยธรรม ไม่ใช่นอกไปจากธรรมเลย
@ถ้ายังมีความเห็นที่ถูกบ้างผิดบ้าง ปะปนกันอยู่ ซึ่งจะทราบแน่นอนว่าความเห็นส่วนใดที่ยังผิด ยังคลาดเคลื่อน ก็ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม และพิจารณาเหตุผลโดยละเอียด โดยรอบคอบจริงๆ มิฉะนั้นแล้ว ก็ยังจะละความเห็นผิดไม่ได้ ถ้าไม่ได้พิจารณาโดยละเอียด
@สำหรับพุทธศาสนิกบางคนที่นับถือพระพุทธศาสนา แต่ไม่เชื่อว่ามี นรก สวรรค์ ไม่เชื่อว่าตายแล้วเกิด ไม่เชื่อเรื่องชาติก่อนและชาติหน้า ก็เป็นการแสดงว่าท่านไม่เชื่อในเหตุและในผลด้วย และไม่เชื่อในเรื่องการดับกิเลสด้วย เพราะเหตุที่จะให้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพียงการเกิดเพียงชาติเดียว เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เชื่อในเรื่องการเกิดดับสืบต่อกันของสภาพธรรม การสะสมเหตุปัจจัยเนิ่นนานมาในสังสารวัฏฏ์ หรือว่าการอบรมเจริญปัญญาจนกว่าจะดับกิเลสได้ ก็เท่ากับค้านกับพระธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้โดยละเอียด
@ความเห็นผิดทั้งหลายเนื่องมาจากอวิชชา ความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ และก็ไม่รู้ด้วยว่า วิชชานั้นเป็นสภาพที่รู้ สามารถที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้ เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่รู้ลักษณะของอวิชชาและไม่รู้ลักษณะของวิชชา ก็ไม่สามารถที่จะมีความเห็นถูก และไม่สามารถเจริญหนทางที่จะดับอวิชชาได้
@ควรที่จะได้เห็นประโยชน์ของวิชชา (ปัญญา) เพราะเหตุว่าถ้าวิชชาไม่เกิด ไม่มีหนทางที่จะละคลายอวิชชาเลย
@ทุกท่านก็คงจะเห็นได้ว่า ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม แต่ละท่านก็มีชีวิตในทางโลกด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลิน แต่เมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว ผู้ที่ได้เคยสะสมกุศลมาแล้วจะเกิดความสนใจและกุศลจิตก็เกิด
@ทุกคนย่อมเคยโกรธ แต่ถ้าใครมีสติที่จะระลึกได้ในขณะที่กำลังโกรธว่า ขณะนั้นเป็นสภาพธรรมที่เป็นอันตรายกับตนเอง เพราะเหตุว่าบุคคลอื่นไม่สามารถที่จะทำให้เราโกรธได้ ถ้าเราไม่มีกิเลส เพราะฉะนั้น จะเห็นได้เลยว่า ขณะใดที่ความโกรธเกิดขึ้น ขณะนั้นเป็นการประทุษร้ายตนเอง ซึ่งบุคคลอื่นไม่ได้กระทำ นอกจากกิเลสของตนเองเป็นผู้กระทำ ถ้าคิดได้อย่างนี้ ในขณะนั้น ก็จะเห็นโทษของอกุศล
@การเกิดเป็นมนุษย์ ก็เป็นผลของกุศลกรรมหนึ่งที่ได้กระทำแล้ว ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็แล้วแต่ว่าจะมีกุศลกรรมอื่นที่จะ ให้ผล ก็ให้ผลทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ซึ่งเมื่อเป็นผลที่น่าพอใจ ก็ทำให้เป็นผู้มีรูปสมบัติ มีทรัพย์สมบัติ มีลาภ มียศต่างๆ กันไป ตามกรรมที่ได้กระทำ ซึ่งแต่ละคนก็สามารถที่จะพิจารณาผลในปัจจุบัน แล้วก็รู้เหตุในอดีตว่า เป็นผลของกุศลหรือว่าเป็นผลของอกุศล แต่ว่าผลของกุศลที่ได้รับ จะเป็นเหตุให้เกิดอกุศลจิตหรือกุศลจิต?
@เวลาที่กุศลจิตเกิด สภาพของจิตผ่องใส ไม่มีความเดือดร้อนด้วยความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ไม่มีการที่จะขาดความเมตตาในบุคคลอื่น จะเห็นได้ว่าจิตที่ผ่องใสเป็นกุศลนั้น ไม่เป็นโทษเป็นภัย เพราะฉะนั้น ก็รู้ได้ว่า ด้วยจิตที่ไม่เป็นโทษเป็นภัยเป็นเหตุ ย่อมจะไม่ทำให้เกิดผลที่เป็นโทษภัย เพราะฉะนั้น กุศลทั้งหลายมีวิบากที่เป็นสุข ไม่ใช่นำมาซึ่งวิบากที่เป็นทุกข์
@กิเลสเกิดเมื่อไหร่ ก็ทำร้ายตนเองเมื่อนั้น ทำร้ายทุกวันด้วยความไม่รู้
@ไม่มีใครทำร้ายใครได้ ทำร้ายใจคนอื่นได้อย่างไร ทำให้เขาเจ็บใจได้อย่างไร ถ้าเขาไม่มีกิเลส ไม่มีทางจะเป็นไปได้เลย
@การที่จะไม่ทำร้ายตนจริงๆ ก็เพราะมีปัญญา
@ตราบใดที่ยังมีการฟังพระธรรม ความเข้าใจก็ต้องเพิ่มขึ้น.
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม...ครั้งที่ ๑๙๓
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
สาธุ
เมื่อมีปัญญารู้ถึงสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏอยู่ ณ ปัจจุบันขณะ ก็ย่อมเห็นได้ว่าทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นไปด้วยเหตุ ด้วยปัจจัยต่างๆ เช่น กรรม เป็นธรรม โดยไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดที่เป็นตัวเป็นตน ที่จะเป็นผู้ทำให้เกิดขึ้น มีขึ้น การเกิดขึ้น การมีอยู่ และการเสื่อมไปก็เป็นเรื่องที่มีความเป็นปกติอยู่ในตัว และเมื่อเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าความทุกข์มีอยู่ แต่ผู้ที่กำลังเป็นทุกข์ไม่ได้มีเลย
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอกราบอนุโมทนาในกุศลวิริยะ ของอ. คำปั่น อักษรวิลัย เป็นอย่างยิ่งค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ. คำปั่น อย่างสูง
...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่นด้วยค่ะ...
กิเลสเกิดเมื่อไหร่ ก็ทำร้ายตนเองเมื่อนั้น ทำร้ายทุกวันด้วยความไม่รู้ กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง ขอกราบอนุโมทนาในกุศลวิริยะ ของอ. คำปั่น อักษรวิลัย เป็นอย่างยิ่งครับ
เวลาที่กุศลจิตเกิด สภาพของจิตผ่องใส ไม่มีความเดือดร้อนด้วยความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ไม่มีการที่จะขาดความเมตตาในบุคคลอื่น จะเห็นได้ว่าจิตที่ผ่องใสเป็นกุศลนั้น ไม่เป็นโทษเป็นภัย เพราะฉะนั้น ก็รู้ได้ว่า ด้วยจิตที่ไม่เป็นโทษเป็นภัยเป็นเหตุ ย่อมจะไม่ทำให้เกิดผลที่เป็นโทษภัย เพราะฉะนั้น กุศลทั้งหลายมีวิบากที่เป็นสุข ไม่ใช่นำมาซึ่งวิบากที่เป็นทุกข์น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ