สอบถามการปฏิบัติ
ผู้ที่ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมเข้าใจในสิ่งที่ไม่เข้าใจ เมื่อศึกษาเป็นเวลาหลายปีย่อมรู้ว่า ตนเองเข้าใจละเอียดมากยิ่งขึ้น กุศลธรรมค่อยๆ เจริญขึ้น สติและสัมปชัญญะค่อยๆ เพิ่มและละเอียดขึ้น เป็นคนค่อยๆ ดีขึ้น ซึ่งแต่ละ ท่านอาจ จะไม่เหมือนกัน คือในขั้นศึกษาอบรมสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ความ รู้ถูก จะยัง ไม่มีผลชัดเจนเหมือนกับปัญญาขั้นโลกุตร เพราะเมื่อโลกุตรปัญญาเกิดขึ้น ย่อมละกิเลสได้ เป็นสมุทเฉทเป็นพระอริยบุคคล แต่ปัญญาขั้นโลกียยังทำลายกิเลสยัง ไม่ได้ แต่ผู้ศึกษาและ ปฏิบัติตามเริ่มมีกุศลธรรมเจริญขึ้น มีความรู้ มีความเข้าใจใน ความจริงมากขึ้น นั่นคือผล ของการอบรม ซึ่งแต่ก่อนไม่มีแต่ต้องไม่ลืมว่าการศึกษาและ การปฏิบัติของเราตรง และ ถูกต้องตามพระธรรมคำสอนหรือไม่ อันนี้เป็นสิ่งสำคัญกว่า
ถ้าเราฟังธรรมะเข้าใจ กุศลขั้นอื่นๆ ก็เจริญขึ้นเอง เช่น เมื่อก่อนเราอาจจะเป็นคนขี้ เกียจ ไม่ช่วยเหลือคนอื่น หลังจากฟังธรรมะเข้าใจ นี้เป็นกุศล เป็นสิ่งที่ดีที่ควรเจริญทุกๆ ครั้ง ที่มีโอกาสทำความดี แม้ว่าจะเล็กน้อยก็ไม่ขี้เกียจ คือ ขยันทำความดีมากกว่า แต่ก่อน เพราะรู้ว่ากุศลทุกอย่างเป็นบารมีที่จะนำออกจากวัฎฎะ ถ้าเราทำกุศลโดยไม่ ต้องผลตอบแทน เพื่อละคลายกิเลสจริงๆ
การกระทำ 3 ทาง คือ กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่บอกได้ค่ะว่า เราเป็นคนที่กำลังขัดเกลาให้ค่อยๆ ดีขึ้นหรือเปล่า เริ่มมีความระมัดระวังในการกระทำ ทั้งทาง กาย วาจา ใจเพิ่มขึ้นหรือไม่
โกรธยากขึ้น เวลาเจอขอทาน ก็ไม่ลังเลเหมือนแต่ก่อน ระวังคำพูดมากขึ้น ไม่โกหก ไม่ส่อเสียด ไม่ด่าหยาบคาย ไม่เพ้อเจ้อ แม้แต่สัตว์เล็กน้อยอย่างมดหรือยุงก็มีความชั่ง ใจไม่ให้ทำร้ายทุกครั้ง เวลาเจอคนหล่อๆ ก็ไม่รู้สึกประทับใจ เห็นเป็นเพียงรูปประกอบ หนึ่งที่ได้มาจากผลบุญ เวลาเครียดๆ ปกติต้องดูหนังฟังเพลง แต่ก็กลับเปิดไฟล์เสียง ของอาจารย์สุจินต์ฟังด้วยความรู้สึกยินดี เวลามีเหตุการณ์เร่งรัดกดดัน ก็ไม่ร้อนรนใน ใจ เหมือนแต่ก่อน แต่รู้สึกสงบจากอกุศลมากขึ้น ทุกอย่างในชีวิตประจำวันดีขึ้น การปฏิบัติของดิฉันเป็นปรกติในชีวิตประจำวันค่ะ แต่ก็เคยมีเพื่อนที่เขานั่งปฏิบัติแล้วบ่น ว่าไม่ก้าวหน้าเหมือนกัน คงจะต้องถามย้อนว่า ปฏิบัติธรรมคืออะไรนั่นแหละค่ะ ปัญญา ปฏิบัติกิจของปัญญา ไม่ใช่มีตัวตนไปปฏิบัติ เพราะเราจะบังคับบัญชาสภาพธรรมไม่ ได้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามลำดับขั้น อาศัยการฟังการอ่านศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ จริงๆ เพื่อที่ปัญญาจะได้เกิดถูกทางและเป็นไปตามลำดับขั้น
มาอีกแล้ว เพื่อนสนิท อยู่กับเราตลอดเวลาคอยกระซิบให้ทำนู้นทำนี่ โลภะนั่นเอง ครับ ความต้องการ พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของการละ ขณะใดที่เริ่มอยากรู้ว่าได้ผล ของการศึกษาหรือยัง เขามาแล้ว ความต้องการ ซึ่งเป็นเครื่องเนิ่นช้าอย่างหนึ่งในการ ที่จะบรรลุธรรม ธัมมะ เป็นเรื่องของการอบรม จิรกาลภาวนา ใช้เวลานานมาก เป็นกัปๆ จะเห็นผลทันทีไม่ได้ และเมื่อความต้องการผลเพิ่มมากขึ้น เขาก็จะพาเราเขวไป หา ทางอื่นที่ง่ายกว่า แต่ขอโทษ ไม่ใช่ทางที่ถูกครับ จับด้ามมีดจะให้สึกทันทีไม่ได้ และที่ เราเห็นผล ว่าเป็นคนดีขึ้นนั้น ก็เป็นเพียงสติเกิดบ่อยขึ้น ขั้นคิดนึก แต่อย่าลืมปัญญา ขั้นการฟัง ทำอะไรกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิต (อนุสัย) ไม่ได้เลย รอโอกาสเมื่อเหตุ ปัจจัยพร้อมก็จะล่วงศีลได้ อาจจะแรงกว่าตอนศึกษาธัมมะเสียอีก เพราะอะไร ก็ยังเป็น ปุถุชนอยู่ครับ การศึกษาธัมมะต้องอดทนที่จะฟัง อดทนที่จะไม่ถูกโลภะคอยต้องการ อยากรู้ผลของการศึกษา แต่ที่สำคัญที่สุดนะครับ เข้าใจในสิ่งที่กำลังฟังเท่านั้นแหละ ส่วนสภาพธัมมะเขาจะปฏิบัติหน้าที่เขาเอง ไม่ต้องห่วง เพราะไม่ใช่เรา เป็นธัมมะครับ
ฟังเถอะครับฟังก่อน ฟังว่าพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้อะไร ฟังให้มากๆ นะครับ เดี๋ยวท่านก็จะเริ่มเข้าใจขึ้นโดยไม่ต้องถามว่าจะปฎิบัติอย่างไร หรืออยากรู้ว่าผลของการ ปฏิบัติจะเป็นอย่างไร ฟังนะครับ ฟังๆ ๆ อย่าเพิ่งไปปฎิบัติอะไร