ทั้งๆที่ฟังธรรมะ แต่ก็ยังไม่เข้าใจและนำมาใช้ในชีวิตประจำวันไม่ได้เลยค่ะ
ดิฉันเป็นคนที่กลัวการพูดคุยกับผู้อื่น เพราะเคยโดนปฏิเสธและเจอคนไม่ดีๆ เมื่อเจอคนอื่นก็จะนิ่งๆ ไม่พูดคุยจะคิดตลอดว่าเขาคงไม่อยากคุยกับเราหรอก จะมีความคิดในแง่ร้ายตลอดเลยค่ะ และก็หยุดคิดไม่ได้เลย กับคนในบ้านก็ยังไม่ค่อยได้คุยกันเลย ไม่รู้สึกรักหรือเมตตาต่อกันเลย จะรู้สึกว่าเขาไม่สนใจเขาไม่รักเรา เราจะไปรักเขาทำไม หรือเวลาเห็นสัตว์ก็ไม่รู้สึกว่าสงสารแต่กับรำคาญมากกว่า เวลาอยู่คนเดียวก็ทุกข์ใจมากๆ ว่าทำไมเราไม่มีคนคบ ไม่มีคนเข้าหาเลย ไม่มีใครรักเลยสักคน เหมือนอยู่ตัวคนเดียว จิตใจย่ำแย่มากคะ ไม่อยากเจอผู้คนเลย ดิฉันก็ได้ฟังธรรมะมา 1 ปีกว่าๆ แล้ว ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ตอนที่กำลังฟังก็มีความเข้าใจ แต่พอเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นก็ไม่ได้เข้าใจในขณะนั้นเลย ควรจะคิดพิจารณาอย่างไรดีค่ะ ช่วยแนะนำด้วย
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เป็นปกติของปุถุชน ที่จะต้องเป็นไปอย่างนั้น ที่จะเกิดกิเลส คิด ไม่ดีเป็นปกติ คนที่คิดดีเป็นปกติ ที่ยังเป็นปุถุชน หาไม่มี ครับ เพราะสะสมกิเลสมามาก สำหรับทุกคนที่ยังมีกิเลส และเป็นปุถุชน เพราะฉะนั้น หนทางที่ถูก คือ ไม่ต้องไปทำอะไร ให้คิดดีขึ้น หนทาง คือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมต่อไป ปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้น ซึ่งใช้เวลาอบรมอย่างยาวนาน ดั่งเช่นพระอริยเจ้าทั้งหลาย ก่อนท่านจะบรรลุธรรม ท่านก็มีความคิดที่ไม่ดี มีอกุศลมากมาย แต่ท่านก็อบรมปัญญาอย่างยาวนาน นับชาติไม่ถ้วน จนในที่สุด ก็สามารถบรรลุธรรม ละกิเลสได้ ครับ เพราะฉะนั้น หนทางเดียว คือ ฟังต่อไป หนทางที่จะไม่ให้อกุศลเกิด ไม่เกิดความคิดไม่ดีอีกอย่างรวดเร็ว เป็นหนทางที่เป็นทางเห็นผิดครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ชีวิตประจำวันของบุคคลผู้ที่ยังเป็นปุถุชน หนาแน่นไปด้วยกิเลส ย่อมจะมีกิเลสเกิดขึ้นเกือบทั้งวัน กุศลเกิดน้อยมากถ้าเทียบกับอกุศล ซึ่งไม่ใช่เฉพาะในวันนี้ในชาตินี้เท่านั้น แต่ว่าได้เป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์เพราะได้สะสมกิเลสมาอย่างมากมายนับชาติไม่ถ้วน จึงเป็นผู้ไหลไปด้วยอำนาจของกิเลส ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ กิเลสทั้งหลาย มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น เป็นศัตรูภายใน เป็นข้าศึกภายใน เป็นมลทินของจิต เป็นสิ่งที่หักราน หรือ ตัดรอนขัดขวาง ไม่ให้ความดีเจริญขึ้น กิเลสประการต่างๆ เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต เมื่อเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ก็เป็นเครื่องตัด หรือทำลายซึ่งความดี ไม่สามารถทำให้กุศลธรรมเกิดขึ้นเป็นไปในขณะนั้นได้เลย ยกตัวอย่างกิเลส ๓ ประเภท คือ โลภะ โทสะ โมหะ เมื่อโลภะเกิดขึ้นก็ติดข้องในสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ปล่อย ไม่สละ ไม่ยอมให้จิตเป็นกุศล และกว้างกว่านั้น ไม่ปล่อยออกจากสังสารวัฏฏ์ โลภะเป็นเหตุให้วนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ไม่สิ้นสุด โทสะเป็นกิเลส ขณะที่โทสะเกิดขึ้น คุณความดีเกิดไม่ได้ มีแต่ความขุ่นข้องหมองใจไม่พอใจ เมื่อสะสมมีกำลังมากขึ้นก็ถึงขั้นล่วงเป็นทุจริตกรรมประทุษร้ายผู้อื่นให้เดือดร้อน และจิตของผู้ถูกโทสะครอบงำย่อมไม่น้อมไปสู่กุศลธรรมเลย โมหะเป็นกิเลสขณะที่มีโมหะ ขณะนั้นมืดมิดไม่สามารถรู้สภาพธรรมที่มีจริงตามความเป็นจริงได้ ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ไม่รู้ว่าอะไรเป็นคุณเป็นโทษและตราบใดที่ยังมีโมหะอยู่ก็ย่อมเป็นเหตุให้อกุศลประการต่างๆ เกิดตามมาอีกมากมาย ทำให้วนเวียนในสังสารวัฏฏ์ต่อไป นี้เพียง ๓ ประเภทใหญ่ๆ ที่เป็นกิเลส นอกจากนั้นก็ยังมีความเห็นผิด ความไม่ละอาย ความไม่เกรงกลัวต่อบาป ความสำคัญตน ความฟุ้งซ่าน ความลังเลสงสัยในสภาพธรรม ความท้อแท้ท้อถอย แต่เมื่อกล่าวโดยรวมแล้ว กิเลสทุกประเภท เป็นธรรมฝ่ายที่ไม่ดี ตัดรอนโอกาสของกุศลธรรม เพราะฉะนั้น ผู้มีโอกาสได้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ ก็จะเห็นพระมหากรุณาคุณ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระองค์ได้ทรงแสดงพระธรรมอย่างละเอียด โดยประการทั้งปวง ซึ่งถ้าไม่ทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียด ก็จะไม่มีใครรู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่ายังเป็นผู้เต็มไปด้วยกิเลส ยังมีส่วนที่ไม่ดีอยู่มากทีเดียวที่จะต้องขัดเกลา
และที่สำคัญ เพราะยังมีกิเลสอยู่นี้เองจึงยังต้องมีการเกิดและตาย มีทุกข์ทั้งทางกายและทางใจ อย่างไม่มีวันจบสิ้น จนกว่าจะได้มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง การอบรมเจริญปัญญาสะสมปัญญาไปตามลำดับเป็นหนทางที่จะทำให้จะค่อยๆ ละคลายกิเลส จนกระทั่งสามารถดับกิเลสได้ ในที่สุด ด้วยความเข้าใจถูกเห็นถูก ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ทุกคนเกิดมาก็หนีทุกข์ไม่พ้นเพราะมีกิเลส ถ้าไม่มีปัญญาก็ยิ่งทุกข์มาก ถ้ามีปัญญาก็จะรู้ว่าทุกข์ก็เป็นธรรมะอย่างหนึ่งเกิดแล้วดับ ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน ของเรา ของเขา และที่สำคัญสุขหรือทุกข์เกิดกับจิต ถ้าเห็นโทษของกิเลสที่เป็นเหตุให้ทุกข์ ก็จะอบรมเจริญเมตตา มีความรู้สึกเป็นมิตรกับทุกคน หวังดี ช่วยเหลือ จิตขณะนั้นก็ผ่องใสสงบจากอกุศลชั่วขณะที่่เมตตาเกิด ค่ะ
การฟังธรรมะเพื่อเข้าใจในสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง ความเข้าใจที่ท่านอาจารย์กล่าวเสมอๆ ลึกซึ้งมาก ที่ท่านบรรยายธรรมะเพื่อให้ผู้ฟังขัดเกลากิเลส จนหมดในที่สุด เมื่อไรบอกไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้ที่ได้รับ
ผมรวมอยู่ด้วยครับ ยังเป็นปุถุชนหนาด้วยกิเลสจริงจริง คงต้องฟังต่อไปอีกหลายหลายชาติ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ความคิดจัดเป็นนามธรรมที่ท่านเรียกว่าสังขารหรือจิตสังขาร มันปรุงตามเรื่องราวที่ประสบมา (เหตุปัจจัย) ครับ มองเห็นมันก็ดีแล้วครับ มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราครับ เห็นแล้วก็วาง วางแล้วโผล่มาอีกก็เห็นใหม่ ตามหลักอนิจจังเดี๋ยวมันก็คลายไป เวลาเปลี่ยนเรื่องกระทบใหม่ๆ ทำงานของเราไปตามปกติครับ ของเหล่านี้เหมือนหมอกเหมือนควัน มันของหลอกๆ ครับ