ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๙๗
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๙๗
@ ขณะใดที่ขุ่นเคืองใจ ขณะนั้นเบียดเบียนตน แล้วเบียดเบียนบุคคลอื่นด้วย แต่ว่าขณะใดที่ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ในขณะนั้นก็เกื้อกูลตน เกื้อกูลผู้อื่น แล้วก็เกื้อกูลแก่โลกทั้งหมดทีเดียว
@ ถ้าขณะใดที่เห็นแก่ตัว ขณะนั้นไม่ใช่กุศล ไม่ใช่การเกื้อกูลตนเอง ไม่ใช่เกื้อกูลบุคคลอื่น
@ พร คือ ความตั้งใจที่จะทำกุศลที่สามารถจะกระทำได้ โดยที่แม้ว่าคนอื่นจะให้พรท่านสักเท่าไรก็ตาม แต่ว่าถ้าท่านไม่ให้พรแก่ตัวของท่านเอง คือไม่ตั้งใจที่จะทำกุศลทุกประการที่สามารถจะกระทำได้ อันนั้นก็เป็นแต่เพียงความคิดเรื่องพร แต่ว่าพรจริงๆ นั้นคือ ความตั้งใจที่จะกระทำกุศล และก็กุศลก็อย่าคิดเรื่องของทานอย่างเดียว เพราะเหตุว่ากุศลควรจะเป็นทุกประการ ไม่ใช่แต่เฉพาะในเรื่องของทานเท่านั้น
@ ความโกรธกับความเมตตา เป็นสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกันจริงๆ เข้าใกล้กันไม่ได้ แต่ว่าลักษณะของเมตตากับโลภะใกล้เคียงกันมาก โลภะ ไม่ใช่เมตตา โดยรู้ว่า ความรู้สึกนั้นที่เคยเข้าใจว่าเมตตา เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์หรือไม่ ถ้าขณะใดเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ให้รู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เมตตาจริงๆ แต่ว่าเป็นโลภะ
@ กำลังหลับเจริญปัญญาไม่ได้ เพราะฉะนั้น ขณะที่ตื่นก็เป็นอนุสติเตือนให้ระลึกว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏ ขณะนี้จะต้องรู้ความจริง ไม่ใช่ไปไถ่ถอนความเป็นตัวตนด้วยความไม่รู้อะไรเลย
@ เมื่อไม่ฟังพระธรรม ก็ย่อมไม่เข้าใจพระธรรม เพราะว่าในขณะนี้คือพระธรรมทั้งหมด ไม่ว่าทางตาที่กำลังเห็น ทางหูที่กำลังได้ยิน ทางจมูกที่ได้กลิ่น ทางลิ้นที่ลิ้มรส ทางกายที่กระทบสัมผัส ทางใจที่คิดนึก ก็เป็นธรรมทั้งหมด
@ ผู้ที่ฟังพระธรรม แล้วก็น้อมประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อที่จะขจัดกิเลส ขัดเกลากิเลส เพื่อไปสู่ทางเดียวกัน คือ รู้แจ้งอริยสัจจธรรม นั่นเป็นผู้ที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพราะว่ามีจุดประสงค์อันเดียวกัน ฟังพระธรรมเพื่อที่จะประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อไปสู่ทางที่ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด) แต่ถ้าเป็นอกุศล ไม่ใช่น้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพราะเหตุว่า นำไปสู่คติต่างๆ ซึ่งไม่นำไปสู่พระนิพพาน
@ ผู้ว่ายาก เป็นผู้ที่ฟังอนุสาสนีแล้วไม่รับเอาโดยความเคารพ คือ ไม่ปฏิบัติตามคำสอน
@ ถ้ามีใครที่จะกล่าวสอนผู้หนึ่งผู้ใดเป็นความกรุณาของผู้นั้น เป็นความเมตตาของผู้นั้น เป็นความหวังดีของผู้นั้น แต่ก็ในเมื่อยังมีกิเลสด้วยกันทั้งนั้น ก็ไม่ควรที่จะคิดถึงแต่เพียงกิเลสของคนอื่น ในขณะนั้นก็จะต้องคิดถึงกิเลสของตนเองด้วย
@ เรื่องการแสดงธรรมเป็นเรื่องที่ยาก ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย ไม่ว่าในกาลสมัยไหนทั้งสิ้น เพราะเหตุว่าแต่ละท่านก็มีอัธยาศัยต่างๆ กัน คงจะไม่เหมือนกันไปหมด เพราะฉะนั้น ถ้ามีหลายท่านพยายามช่วยกัน และก็สามารถที่จะทำให้ใครเข้าใจธรรมได้ ก็อนุโมทนาในความสามารถของท่านผู้นั้น เพราะเหตุว่าบางท่านอาจจะทำให้ท่านผู้นี้เข้าใจได้ อีกท่านหนึ่งอาจจะทำให้ท่านผู้นั้นเข้าใจได้
@ เขาไม่ดีนั้นเรื่องของเขา ถ้าจิตของเราไม่ดีด้วย ในขณะนั้นก็ไม่ดีทั้งคู่
@ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เป็นเรื่องชีวิตจริงๆ ตั้งแต่เกิดจนตายทุกๆ ชาติ และพระผู้มีพระภาคก็ทรงตรัสรู้ลักษณะของสภาพธรรม และทรงแสดงธรรมเพื่อให้ผู้ที่ได้ฟังเข้าใจสภาพธรรม เพื่อจะได้ประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่เป็นประโยชน์ในทุกๆ ชาติ
@ เป็นความจริงที่เมื่อเกิดมาแล้ว ทุกคนก็ยังมีกิเลส ในชีวิตประจำวันจะเห็นได้จริงๆ ว่ายังเป็นไปตามกำลังของกิเลส ที่จะไม่ให้กิเลสเกิดเลยในวันหนึ่งๆ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นหนทางเดียวที่ทำให้กิเลสค่อยๆ ลดกำลังลง ก็คือ ไม่ทอดทิ้งการศึกษาการฟังพระธรรม การพิจารณาพระธรรมโดยละเอียด เพื่อที่จะให้เกิดปัญญาที่สามารถระลึกได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมในชีวิตประจำวันจริงๆ
@ ผู้ที่มารดาบิดายังมีชีวิตอยู่ ก็ทราบว่า วันหนึ่งท่านจะต้องจากไป แต่ว่าถ้าไม่เลี้ยงดูท่านในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ คือ เป็นผู้ไม่เห็นคุณของมารดาบิดา เพราะฉะนั้นผู้นั้นจะเห็นคุณของบุคคลอื่นได้อย่างไร แม้แต่บิดามารดาซึ่งเลี้ยงดู ให้ทุกสิ่งทุกอย่างมา ให้ความสุขสบายมาตั้งแต่เกิด ผู้นั้นก็ยังไม่เห็นคุณ ยังไม่ตอบแทนคุณของท่าน เพราะฉะนั้นจะคิดถึงคุณของบุคคลอื่นก็คงจะยาก เพราะแม้แต่คุณของบิดามารดา ก็ไม่เห็น
@ ธรรมที่ได้ยินได้ฟังละเอียดและเป็นประโยชน์ที่พระผู้มีพระภาคไม่ทรงให้มีอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย นี่คือพระธรรมที่ทรงอนุเคราะห์
@ ถ้ามีการถูกล้อมไว้จริงๆ ก็จะรู้ว่าทุกข์นั้นมากมายสักแค่ไหน แต่ขณะนี้ก็ถูกล้อมไว้แล้วทั้งรูป ทั้งเสียง ทั้งกลิ่น ทั้งรส ทั้งโผฏฐัพพะ ทั้งโลภะ ทั้งโทสะ ทั้งโมหะ ยากที่จะพ้นได้จริงๆ
@ ธรรมเป็นปกติ คนส่วนใหญ่คิดว่า ธรรมต้องไปทำให้มีขึ้น ให้เกิดขึ้น แต่ว่าตามความเป็นจริงตลอดชีวิต ทุกชีวิตในสังสารวัฏฏ์ เป็นธรรมทั้งหมด ไม่มีขณะไหนที่ไม่ใช่ธรรมเลย เพราะฉะนั้นการรู้จักธรรม ไม่ใช่ต้องไปทำอะไรให้เกิดเลย เพียงแต่ว่า สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ฟัง แล้วก็รู้ว่า ปัญญาสามารถรู้ว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังเป็นคำจริงทุกคำ
@ กัลยาณมิตร ไม่ใช่คนที่จะทำให้เราโกรธ หรือรู้สึกโกรธคนนั้นคนนี้ แต่ว่าเป็นผู้ที่ทำให้เราเกิดเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ในบุคคลอื่นๆ
@ สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ดับกิเลส จะเห็นได้ว่า อหิริกะ (ความไม่ละอายต่อบาป) อโนตตัปปะ (ความไม่เกรงกลัวต่อบาป) นี้ มีปัจจัยที่จะเกิดได้ทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ และถ้าไม่มีปัจจัยที่จะเกื้อกูลได้ หิริ (ความละอายต่อบาป) โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่อบาป) ก็ไม่เกิด ต่อเมื่อใดที่มีปัจจัยที่เหมาะสมที่เกื้อกูลได้ ในขณะนั้นหิริโอตตัปปะจึงเกิดได้
@ สิ่งที่เป็นคุณ จะเป็นโทษไม่ได้ สิ่งที่เป็นโทษ จะเป็นคุณ ไม่ได้
@ เป็นไปไม่ได้ที่โมหะ (ความไม่รู้) จะไปทำกิจของปัญญา
@ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่มีสักคำที่ให้โทษ
@ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่มีประโยชน์สำหรับผู้ที่ไม่ได้ศึกษา.
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๙๖
...กราบเท้าบูชาคุณ
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิต
ของทุกๆ ท่านครับ...
กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
กราบเคารพบูชาพระคุณท่านอ.สุจินต์บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณในกุศลจิตอ.คำปั่น อักษรวิลัย ด้วยความรู้คุณของพระธรรม ชีวิตที่ดำรงในแต่ละวันมีคุณค่าที่ได้ศึกษาพระธรรมอย่างแท้จริง
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย อย่างยิ่งค่ะ
ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ด้วยครับ
เมื่อไม่ฟังพระธรรม ก็ย่อมไม่เข้าใจพระธรรม เพราะว่าในขณะนี้คือพระธรรมทั้งหมด ไม่ว่าทางตาที่กำลังเห็น ทางหูที่กำลังได้ยิน ทางจมูกที่ได้กลิ่น ทางลิ้นที่ลิ้มรส ทางกายที่กระทบสัมผัส ทางใจที่คิดนึก ก็เป็นธรรมทั้งหมด
ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ด้วยค่ะ