พระอรหันต์เห็นแล้วคิดหรือไม่ครับ?
เมื่อเช้ามืดวันนี้ (ตี ๔.๑๕ น.) ผมได้มีโอกาสดูรายการบ้านธัมมะทางช่อง ๑๑ ซึ่งมีการสนทนาธรรมกันในเรื่องของบัญญัติ และเรื่องราวที่คิดนึกทางมโนทวาร โดยท่านอาจารย์สุจินต์อธิบายโดยชี้ให้เห็นว่า เรื่องราวที่คิดนึกในใจหรือฝันเห็นนั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงๆ แต่เป็นเพียงบัญญัติ เมื่อคิดแล้วก็ดับไป คิดแล้วก็ดับไปๆ ๆ โดยท่านบอกว่าเมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น ขณะที่เห็นนั้น ไม่ได้คิด แต่จิตคิดนั้นต่อจากที่เห็น หรือขณะอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นขณะได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส ก็จะไม่ได้คิด แต่จิตคิดจะเกิดสืบต่อจากจิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส ฯลฯ ตรงนี้ผมเลยขออนุญาตรบกวนถามต่อเลยนะครับว่า แล้วถ้าเป็นพระอรหันต์ท่าน เมื่อเห็นแล้ว จะคิดต่อหรือไม่ครับ หรือว่าเมื่อได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้กระทบสัมผัส ท่านจะคิดต่อหรือไม่ครับ
ตามหลักพระอภิธรรมพระพุทธองค์ทรงแสดงว่า ธรรมดาของวิถีจิต คือ เมื่อวิถีจิตทางปัญจทวารเกิดขึ้นรู้อารมณ์ ดับไป ย่อมเป็นปัจจัยให้วิถีจิตทางมโนทวารเกิดขึ้นรับรู้อารมณ์ต่อจากปัญจทวาร และมีคิดถึงชื่อสัณฐานของสิ่งที่เห็นเป็นต้น ไม่ยกเว้นว่าเป็นปุถุชนหรือเป็นพระอริยบุคคล หรือพระอรหันต์ สรุปคือ ทุกบุคคลเมื่อเห็น เป็นต้น แล้วย่อมมีการคิดนึกต่อทางมโนทวาร แต่พระอรหันต์ท่านไม่มีอกุศลเกิดเหมือนกับบุคคลอื่นๆ
ดังนั้นพระอรหันต์ จึงมีวาระจิต ทางมโนทวารต่อจากปัญจทวาร เหมือนปุถุชน แต่วาระจิตทางมโนทวาร ที่ทำกิจ ชวนะ เป็นกิริยาจิต ไม่เหมือนปุถุชน ที่ชวนจิต เป็นกุศลหรืออกุศล
กามาวจรจิต หมายถึง จิตที่ท่องเที่ยวไปในกามภูมิ เช่น จิตเห็น จิตได้ยิน เป็นต้น ส่วนพระอรหันต์ จิตเห็นเป็นชาติวิบาก จิตคิดเป็นชาติกิริยา
สภาพธัมมะเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา เพราะว่ากันในเรื่องอภิธรรมแล้ว ก็มีแต่ จิต เจตสิก รูปและนิพพาน ซึ่งในวิถีจิตเมื่อวิถีจิตทางปัญจทวารเกิดขึ้น ย่อมเป็นปัจจัยให้วิถีจิตทางมโนทวารสืบต่อ (คิดนึก) เพราะเป็นจิตนิยาม เป็นธรรมดาของจิต และวิถีจิตที่ต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นปุถุชนอยู่ หรือเป็นพระอรหันต์แล้ว และแม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ยังคิดนึกด้วย แต่ที่สำคัญจะต่างตรงเรื่องของความฝัน ซึ่งปถุชนนั้นฝัน ซึ่งความฝัน เป็นทางมโนทวาร (คิดนึก) ที่ฝันเพราะยังมีกิเลสอยู่จึงฝัน แต่สำหรับพระอรหันต์แล้วนั้น ท่านไม่ฝัน เพราะเหตุใดเพราะท่านไม่มีกิเลส
พระพุทธเจ้า ก็ยังเห็นเป็นพระเจ้าพิมพิสาร (มโนทวาร) ยังเห็นเป็นสัตว์ บุคคล ไม่เช่นนั้นก็ทรงโปรดแสดงธัมมะไม่ถูกว่าจะแสดงกับใคร และถึงแม้จะมีสัตว์บุคคลเป็นอารมณ์ ท่านก็ไม่ยึดถือว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน และที่สำคัญต่างกับปุถุชนตรงที่ว่าพระอรหันต์ไม่มีกิเลส หลังจากเห็นแล้ว คือเป็นกิริยา และที่สำคัญต่างตรงที่ ท่านรู้ว่าขณะไหนมีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ (ขณะเป็นปัญจทวารวิถี) และขณะไหนมีบัญญัติเป็นอารมณ์ (มโนทวารวิถีจิต วาระหลังๆ )
ขอยกข้อความพระไตรปิฏก เรื่อง จิตนิยาม
[เล่มที่ 13] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 101
อรรถกถามหาปทานสูตร
ธรรมคือ จิตและเจตสิกดวงก่อนๆ เป็นปัจจัย โดยอุปนิสัยปัจจัยแห่งธรรมคือ จิตและเจตสิกดวงหลังๆ เพราะฉะนั้น การเกิดขึ้นแห่งสัมปฏิจฉันนะ เป็นต้น ในลำดับแห่งจักขุวิญญาณเป็นต้น นี้ เป็นจิตตนิยาม