พระอรหันต์เห็นแล้วคิดหรือไม่ครับ?

 
ละอ่อนธรรม
วันที่  17 ม.ค. 2550
หมายเลข  2659
อ่าน  1,501

เมื่อเช้ามืดวันนี้ (ตี ๔.๑๕ น.) ผมได้มีโอกาสดูรายการบ้านธัมมะทางช่อง ๑๑ ซึ่งมีการสนทนาธรรมกันในเรื่องของบัญญัติ และเรื่องราวที่คิดนึกทางมโนทวาร โดยท่านอาจารย์สุจินต์อธิบายโดยชี้ให้เห็นว่า เรื่องราวที่คิดนึกในใจหรือฝันเห็นนั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงๆ แต่เป็นเพียงบัญญัติ เมื่อคิดแล้วก็ดับไป คิดแล้วก็ดับไปๆ ๆ โดยท่านบอกว่าเมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น ขณะที่เห็นนั้น ไม่ได้คิด แต่จิตคิดนั้นต่อจากที่เห็น หรือขณะอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นขณะได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส ก็จะไม่ได้คิด แต่จิตคิดจะเกิดสืบต่อจากจิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส ฯลฯ ตรงนี้ผมเลยขออนุญาตรบกวนถามต่อเลยนะครับว่า แล้วถ้าเป็นพระอรหันต์ท่าน เมื่อเห็นแล้วจะคิดต่อหรือไม่ครับ หรือว่าเมื่อได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้กระทบสัมผัส ท่านจะคิดต่อหรือไม่ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 18 ม.ค. 2550

ตามหลักพระอภิธรรมพระพุทธองค์ทรงแสดงว่า ธรรมดาของวิถีจิต คือ เมื่อวิถีจิตทางปัญจทวารเกิดขึ้นรู้อารมณ์ ดับไป ย่อมเป็นปัจจัยให้วิถีจิตทางมโนทวารเกิดขึ้นรับรู้อารมณ์ต่อจากปัญจทวาร และมีคิดถึงชื่อสัณฐานของสิ่งที่เห็นเป็นต้น ไม่ยกเว้นว่าเป็นปุถุชนหรือเป็นพระอริยบุคคล หรือพระอรหันต์ สรุปคือ ทุกบุคคลเมื่อเห็น เป็นต้น แล้วย่อมมีการคิดนึกต่อทางมโนทวาร แต่พระอรหันต์ท่านไม่มีอกุศลเกิดเหมือนกับบุคคลอื่นๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
จิต89หรือ121
วันที่ 18 ม.ค. 2550

ดังนั้นพระอรหันต์ จึงมีวาระจิต ทางมโนทวารต่อจากปัญจทวารเหมือนปุถุชน แต่วาระจิตทางมโนทวารที่ทำกิจชวนะ เป็นกิริยาจิต ไม่เหมือนปุถุชนที่ชวนจิต เป็นกุศลหรืออกุศล

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 18 ม.ค. 2550

กามาวจรจิต หมายถึง จิตที่ท่องเที่ยวไปในกามภูมิ เช่น จิตเห็น จิตได้ยิน เป็นต้น ส่วนพระอรหันต์ จิตเห็นเป็นชาติวิบาก จิตคิดเป็นชาติกิริยา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 18 ม.ค. 2550

สภาพธัมมะเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา เพราะว่ากันในเรื่องอภิธรรมแล้ว ก็มีแต่ จิต เจตสิก รูปและนิพพาน ซึ่งในวิถีจิตเมื่อวิถีจิตทางปัญจทวารเกิดขึ้น ย่อมเป็นปัจจัยให้วิถีจิตทางมโนทวารสืบต่อ (คิดนึก) เพราะเป็นจิตนิยามเป็นธรรมดาของจิต และวิถีจิตที่ต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นปุถุชนอยู่ หรือเป็นพระอรหันต์แล้วและแม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ยังคิดนึกด้วย แต่ที่สำคัญจะต่างตรงเรื่องของความฝัน ซึ่งปถุชนนั้นฝัน ซึ่งความฝัน เป็นทางมโนทวาร (คิดนึก) ที่ฝันเพราะยังมีกิเลสอยู่จึงฝัน แต่สำหรับพระอรหันต์แล้วนั้น ท่านไม่ฝัน เพราะเหตุใดเพราะท่านไม่มีกิเลส

พระพุทธเจ้า ก็ยังเห็นเป็นพระเจ้าพิมพิสาร (มโนทวาร) ยังเห็นเป็นสัตว์ บุคคล ไม่เช่นนั้นก็ทรงโปรดแสดงธัมมะไม่ถูกว่าจะแสดงกับใคร และถึงแม้จะมีสัตว์บุคคลเป็นอารมณ์ ท่านก็ไม่ยึดถือว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนและที่สำคัญต่างกับปุถุชนตรงที่ว่าพระอรหันต์ไม่มีกิเลสหลังจากเห็นแล้ว คือเป็นกิริยา และที่สำคัญต่างตรงที่ท่านรู้ว่าขณะไหนมีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ (ขณะเป็นปัญจทวารวิถี) และขณะไหนมีบัญญัติเป็นอารมณ์ (มโนทวารวิถีจิต วาระหลังๆ )

ขอยกข้อความพระไตรปิฏก เรื่อง จิตนิยาม

[เล่มที่ 13] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 101

อรรถกถามหาปทานสูตร

ธรรมคือ จิตและเจตสิกดวงก่อนๆ เป็นปัจจัย โดยอุปนิสัยปัจจัยแห่งธรรมคือ จิตและเจตสิกดวงหลังๆ เพราะฉะนั้น การเกิดขึ้นแห่งสัมปฏิจฉันนะ เป็นต้น ในลำดับแห่งจักขุวิญญาณเป็นต้น นี้ เป็นจิตตนิยาม

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
medulla
วันที่ 19 ม.ค. 2550

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ละอ่อนธรรม
วันที่ 19 ม.ค. 2550

สาธุ ขอขอบพระคุณทุกท่านมากครับที่ช่วยชี้แนะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
weerasakmai
วันที่ 1 มิ.ย. 2563

สาธุ ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 27 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
yu_da2554hotmail
วันที่ 13 ธ.ค. 2567

ยินดีในกุศลกรรม

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ