ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่ ร้าน Kelly by Audrey ๕ มิถุนายน ๒๕๕๘

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  18 มิ.ย. 2558
หมายเลข  26650
อ่าน  2,078

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันศุกร์ ที่ ๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้รับเชิญจากคุณจรรยา ปิ่นประดับ เพื่อไปรับประทานอาหารกลางวัน ที่ ร้าน Kelly by Audrey ซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้น ๕ ของห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร

แม้ว่าจะเป็นการไปรับประทานอาหารเป็นการส่วนตัว แต่ทุกท่านย่อมทราบว่า ในทุกๆ ที่ ที่ท่านอาจารย์เดินทางไป ประโยชน์สูงสุดของทุกท่านที่มีโอกาสได้อยู่ร่วม ณ ที่นั้น คือ การได้มีโอกาสฟัง "คำ" ที่มาจากความเข้าใจความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จากความเมตตาของท่านอาจารย์ ซึ่งกล่าวธรรม ด้วยความตรงไปตรงมา แก่ผู้ใกล้ชิด ข้าพเจ้าเคยได้ยินท่านปรารภถึงท่านอื่นๆ ด้วยความเมตตาอย่างยิ่งว่า ท่านเหล่านั้น ไม่มีโอกาสที่จะได้สนทนาโดยใกล้ชิดกับท่าน ที่จะได้มีความเข้าใจ จากการได้สอบถามปัญหาต่างๆ แบบนี้ ซึ่งจะทำให้มีความเข้าใจที่ชัดเจน หายสงสัยได้ ไม่เพียงฟังผ่านๆ เผินๆ แล้วก็หลงไปทำ ไปปฏิบัติ ในสิ่งที่ผิดๆ เป็นความเมตตาของท่าน ที่ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง สำหรับในครั้งนี้ แม้เจ้าภาพ คือ คุณจรรยา บอกว่า ไม่ต้องนำกล้องไปบันทึกภาพ ให้ไปรับประทานอาหารอย่างเดียว ข้าพเจ้าก็ตั้งใจว่าจะไม่ขัดใจเจ้าภาพ แต่ด้วยความที่เคยชิน ที่จะไปไหนๆ ในที่ๆ ท่านอาจารย์ไป แล้วไม่มีกล้องและเครื่องบันทึกเสียง ก็ดูจะทำให้เสียใจในภายหลังได้ จึงติดกล้องและเลนส์ไปเพียงตัวเดียว เมื่อไปถึง เห็นร้านสวยงาม โปร่งสบายน่านั่งมาก ก็อดบันทึกภาพไม่ได้ (อีกแล้ว)

และเมื่อท่านอาจารย์กล่าวธรรมะ หลังรับประทานอาหารเสร็จ ก็อดที่จะนำเครื่องบันทึกเสียง ออกมาบันทึกไม่ได้อีก และเมื่อได้ฟังคำที่ท่านกล่าว ก็รู้สึกว่า เป็นสิ่งที่น่าจะตรงกับใจของหลายๆ คน ซึ่งแน่นอนว่า ตรงใจข้าพเจ้าแบบเต็มๆ ด้วย ประกอบกับคิดถึงคำปรารภของท่านอาจารย์ ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ก็คิดว่าควรที่จะถอดเทปมาแบ่งปันทุกๆ ท่าน ด้วย เมื่อมีเวลา

อนึ่ง การที่นำภาพของท่านอาจารย์ ที่ปรากฏในร้านอาหารในห้างสรรพสินค้ามาเผยแพร่ เป็นสิ่งหนึ่งที่ทุกท่านจะได้เห็นความจริง ที่ยืนยันได้ดี ถึงความเป็นปกติ ในชีวิตประจำวัน ของชีวิตของคฤหัสถ์ผู้ศึกษาธรรม ว่าเป็นชีวิตที่ปกติ ไม่ใช่ชีวิตที่ผิดไปจากปกติเลย แต่สิ่งที่ต่างจากชีวิตของผู้ที่ไม่ได้ศึกษาธรรม ก็คือ ความเข้าใจธรรมะ และ ปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้น จากการฟัง การสนทนา การระลึกรู้ สังเกตุ ทีละเล็ก ทีละน้อย และ มีการพิจารณาสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวัน จากพระธรรมที่เคยได้ยินได้ฟังมา เป็นปกติ และเมื่อจะถึงแก่กาละ ที่สภาพธรรมจะปรากฏ ประจักษ์แจ้งแก่ปัญญา ตรงตามที่ได้ฟังมา ก็ย่อมปรากฏได้แม้ในขณะนี้เอง ไม่ใช่ด้วยความเข้าใจผิด ว่าจะต้องไปสู่สถานที่หนึ่ง สถานที่ใด ไปปฏิบัติ ไปทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อที่จะได้รู้แจ้งสภาพธรรมะ ในขณะอื่น ในที่อื่น ในป่า หรือ ในที่ๆ ห่างไกล ในสำนักไหนๆ ซึ่งไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย เพราะเหตุว่า ธรรมเป็นอนัตตา ย่อมเกิดตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่เกิด ด้วยความหวัง ความติดข้อง ต้องการ

ดังในพระสูตรที่ทรงแสดงไว้มากมาย ถึงการที่บุคคล ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม แม้ในขณะที่ดูการแสดงของหญิงฟ้อนรำ บางท่านบรรลุธรรม ในขณะที่ประกอบการหุงหาอาหารอยู่ในครัว บางท่านบรรลุธรรมในขณะที่ยืนอยู่กลางถนน และอีกมากมายนับประมาณไม่ได้ ที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม หลังการที่ได้ฟังพระธรรมจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จบลง นี่เป็นสิ่งที่เตือนทุกบุคคลได้ดี ในคำกล่าวที่มีปรากฏในพระไตรปิฎก ถึงคำว่า เป็นผู้มีปกติอบรมเจริญสติ ในชีวิตประจำวัน

.........

"...ในมหาสติปัฏฐานสูตร จะมีข้อความที่กล่าวไว้ทุกบรรพ ว่า "เป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน" ถ้าทิ้งคำว่า "ปกติ" ก็ไม่สามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพความเป็น "อนัตตา" ของธรรมที่ปรากฏ. เพราะฉะนั้น การที่จะเป็นผู้ที่รู้จริง อย่าลืมนะคะ "รู้จริง" คือ รู้ ลักษณะของสภาพธรรม ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ตามปกติ ตามความเป็นจริง.

.........

ข้อความบางตอนจากการถอดเทป การบรรยายธรรม โดย ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่ตึกสภาการศึกษา มหามกุฏราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๒๕ โดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล

เมื่อเริ่มเข้าใจธรรมะ ย่อมรู้ว่า คำว่า "ภาวนา" ที่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนที่จะศึกษาธรรมะนั้น ความหมายจริงๆ ก็คือ การอบรมเจริญปัญญาที่เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ในทุกๆ ขณะนี้เอง หาใช่การไปนั่งบริกรรมภาวนาใดๆ หรือการท่องบ่นอะไรๆ อย่างที่เคยหลงเข้าใจกันไม่

เมื่อบุคคลมีความเข้าใจธรรมะมั่นคงขึ้น ย่อมมีพระธรรมนั้นเอง มีความเข้าใจนั้นเอง เป็นที่พึ่ง ในการดำเนินชีวิตที่เป็นปกติ ในชีวิตประจำวัน หาไม่แล้ว บุคคลจะพึ่งอะไรได้? ในขณะที่เห็น พึ่งอะไรได้? ในขณะที่ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส...

ผู้ศึกษาธรรม อยู่ที่ไหนๆ ก็เหมือนกัน สบายๆ ด้วยความเข้าใจธรรมะเป็นปกติ ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมะที่ไหนๆ ให้เดือดร้อน ให้ลำบากเลย (ท่านอาจารย์กล่าวว่า ไปทำให้เดือดร้อน ให้ลำบาก เพราะความไม่รู้ ถ้ารู้ ไม่ลำบากเลย) เมื่อเข้าใจธรรมะ ย่อมรู้ว่า ธรรมะทั้งหมด มีปรากฏอยู่เฉพาะหน้า ในขณะนี้เอง...

อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความที่ท่านอาจารย์ได้สนทนาในวันนั้นบางตอน มาฝากให้ทุกๆ ท่าน ได้พิจารณาด้วย ดังนี้ครับ

ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีธรรมะ ก็ไม่มีคน แต่ทีนี้ ทุกอย่าง ที่เราว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นภพ เป็นภูมินี่ มันคือ เป็นธรรมะ ทั้งหมด!!! เพราะฉะนั้น ถ้าถึง "แก่น" จริงๆ ก็คือว่า "อยู่คนเดียว" เพราะ "จิต" หนึ่งขณะเกิด และ จิตหนึ่งขณะก็ดับ มันจะเป็นอะไรยิ่งกว่านี้ไม่ได้!!!

แต่ เพราะความไม่รู้ และ ความเร็ว เราก็อยู่ในโลกของสมมติ มายา ตลอด มีคนโน้น มีคนนี้ มีอะไรต่ออะไร จนกว่าจะรู้ความจริงจนถึงความเป็นพระอรหันต์ และอย่างพระโสดาบันนี่ ท่านประจักษ์จริง เห็นธรรมะเกิด ดับ แต่กิเลสที่สะสมมา ความติดข้อง ความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด โดยที่ว่าไม่ใช่ความเห็นผิด ยังคงมีอยู่!!! เหมือนเสื้อผ้านางวิสาขา เครื่องประดับอะไรพวกนี้ มันก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ความเห็นผิดว่าเพื่อนมี ความเห็นผิดว่าเป็นตัวตนจริงๆ ไม่มี!!! แต่ว่า การติดข้อง ก็ทำให้ผู้มีปัญญา เห็นตามความเป็นจริงว่า ไม่มีใครไปยับยั้ง จนกว่าปัญญาจะสมบูรณ์ ตามลำดับขั้น ถึงจะสามารถเข้าใจขึ้น!!

เพราะฉะนั้น มันเป็นชีวิตปกติ และ แต่ละคำ ที่ว่า "เที่ยวไปเหมือนนอแรด" ก็คือว่า ถ้าจะมีความเป็นสหาย ก็อย่าไปคบเลย อยู่คนเดียว ไปคนเดียว ทำคนเดียว ก็ยังปลอดภัยกว่า และจริงๆ แล้วก็ "ถึงความอยู่คนเดียว" แต่การที่เราจะเข้าใจถูกว่า มันไม่มีอะไร และ ใน "คนเดียว" นี้ ก็เพราะเหตุว่า มี "จิต" เกิดขึ้น "หนึ่ง" แล้วก็ดับ แล้วก็สืบต่อ เป็นโลกที่กว้างใหญ่

คุณจรรยา ท่านอาจารย์คะ ที่บอกว่า กายวิเวก นั่นไม่ได้หมายความว่า อยู่ป่าใช่ไหมคะ?
ท่านอาจารย์ ถ้าเราไปอยู่ป่า แล้วเราก็คิดโน่น คิดนี่ กรุงเทพฯเป็นอย่างไร? ฝนตก ฟ้าร้อง ไปอยู่ทำไม? ไม่มีประโยชน์ แต่ (คำสอน) ของท่านนี่ "คนที่มีความเห็นถูก แต่ก็ยังมีชีวิตที่ปะปนกับคนอื่น" ขณะที่ปะปน ก็ไม่วิเวก เพราะตามธรรมดา เราจะมีความสุขตอนไหนบ้าง? ตอนอยู่คนเดียว บางทีเรามีความสุข บางคน อย่างคุณติ๊ก ที่เป็นแอร์ เขาก็เล่าให้คุณแอ๊วฟังว่า ความสุขของเขา ก็คือว่า อยู่ที่ไหนก็ได้ฟังธรรมะคนเดียว ไม่ต้องไปนั่งฟังรวมกลุ่ม แค่คนเดียว ฟังเข้าใจ เขาก็มีความสุข แล้วพอเขาต้องทำหน้าที่เสิร์ฟอาหาร เขาก็ทำกุศลได้ตั้งเยอะ คือ มันมีความเข้าใจ อยู่กับปัญญา ก็ไม่เดือดร้อน ใช่ไหม? มันสำคัญอยู่ที่ว่า ปัญญามันมีน้อย แล้วก็ มันไม่พอ มันก็เดือดร้อนไป

อย่างความกังวลนี่ เราก็รู้ว่ามันเป็นอกุศล กังวลหรือไม่กังวล อะไรจะเกิด มันก็เกิด ตามที่มันเป็น เสียเวลากังวล เราก็เลิกกังวล!!!
คุณจรรยา ท่านอาจารย์คะ บางทีรู้ มันก็ยังกังวลอยู่ค่ะ
ท่านอาจารย์ เพราะว่า สะสมมาไงคะ เพราะฉะนั้น ทั้งหมดนี้ จะรักษาได้ ด้วย "ปัญญา" ปัญญา คือ ยา จริงๆ รักษาจริงๆ อย่างอื่น รักษาไม่ได้!!! ต่อให้ถ้อยคำไพเราะ จะตรงอย่างไร แต่ปัญญายังไม่เห็นตามอย่างนั้น มันก็ยังไม่ถึงเวลา ที่จะได้ประโยชน์เต็มที่ แต่ถ้าถึงเวลานะคะ สิ่งเดียวที่เป็นที่พึ่ง ก็คือ ปัญญา!!!

ประโยชน์เต็มที่ เมื่อเขาเพิ่มขึ้น! เข้าใจขึ้นว่า มันเปลี่ยนไม่ได้ มันเป็นความจริงที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว อย่างเกิดมานี่ ก็เกิดมาคนเดียว พี่น้องที่ไหนล่ะ ยังไม่มีเลย ใช่ไหม? เพื่อนฝูงที่ไหน? ก็ยังไม่มีเลย ตาย ก็ตายคนเดียว ไปไหน ก็ไปคนเดียว โลกหน้า ก็ไปคนเดียว โลกไหนๆ ก็ไปคนเดียว!!!

คุณจรรยา เวลาที่หนูจะทำอะไรนี่ หนูกังวลมาก (หัวเราะ) เวลาจะพูดหน้าชั้น ไปบรรยาย ไปอะไรอย่างนี้ หนูกังวลเป็นวันๆ เลย
ท่านอาจารย์ มันเป็นของธรรมดา เป็นของธรรมดา ตราบใดที่ยังมี "เรา" แต่ถ้ารู้นะคะ คำชม หรือคำสรรเสริญ ก็ผ่านไปทั้งนั้น ใครเขาจะมาสนใจเรามากมาย ใช่ไหม? แค่เห็นเรานิดหนึ่ง แค่นั้น หมดไปแล้วจากใจของเขา

คุณจรรยา ท่านอาจารย์คะ ที่เรากังวล เพราะว่าเรายังแคร์.....
ท่านอาจารย์ เรามีความเป็นตัวตน มีความเป็นเรา แล้วก็รู้ด้วย ว่าคนอื่น เขาจะคิดอย่างไร? จะมองอย่างไร? จะชม จะติอย่างไร? ใช่ไหม? แต่ถ้าเรารู้ว่า ใจจริงๆ ของเขานี่ แค่เห็นเรา เขาลืมแล้ว ไม่ต้องไปเสียเวลาคิดว่า เขาจะชมอีกนานเท่าไหร่? หรือเขาจะติ มีแต่ใจเราคนเดียว ไปเฝ้าคิดถึง สิ่งที่มันหมดไปแล้ว ด้วยความสำคัญตนว่า เป็นเรา เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว มันไม่มี!!! มันมีแต่ "ความคิด" แล้ว ถ้าไม่มีความคิด มันก็ไม่มี!!

เพราะฉะนั้น เรารักตัวเรา ทั้งหมดนี้ มันอยู่ที่ "รักตัวเรา" ถ้า "ตัวนี้" ไม่มี สบายมาก ใครจะติก็ติไป ใครจะชม ก็แค่นิดเดียว แล้วไปคิดหรือ? ว่าเขาจะเก็บเรื่องของเราไว้ในใจเขานาน แค่เห็นปุ๊บ เขาไม่สนใจแล้ว แล้วเราก็มานั่งกังวล ว่าแหม....เขาจะคิดอย่างไรกับเรา....มันเสียเวลาค่ะ เสียเวลา!!!

มันไม่มีอะไรดีกว่า ความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่ามันไม่มีอะไร!!! ไปคิดว่ามันมีอะไรอยู่ตลอดเวลา มันไม่มี!!!! หมดแล้วทั้งนั้นเลย!! หมดแล้วทั้งนั้น!! คือ ไม่เหลือเลย!!! ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วจะรู้ว่า "อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน" โลกไหนก็เหมือนกัน!!!

เจ็บคนเดียว แข็งแรงคนเดียว สบายคนเดียว ปวดฟันคนเดียว ท้องเสียคนเดียว จะไปกังวลอะไรกับคนอื่นเขา? เรากังวลถึงเขา แต่เขาไม่ได้สนใจเลย ไปนั่งคิดว่า ใครเขาจะคิดอย่างไรกับเรา เขาไม่ได้คิด หมดแล้ว!! แค่เห็นเรา เขาก็ลืมไปแล้ว!!! นี่ทุกอย่างที่เราผ่านมาแล้ว เราลืมหมด แล้วคนนั้น ก็ไปนั่งกังวล จริงๆ นะคะ ไม่ต้องสนใจในสิ่งที่ล่วงแล้ว ชัดเจน!!! แล้วก็ สิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็ ชัดเจน!! มันมีสิ่งเดี๋ยวนี้ ที่จะต้องเข้าใจขึ้น ถ้าไม่มีความเข้าใจตรงนี้ มันก็ไม่มีทางที่จะไปถึงตรงนั้น สบายออก ความไม่มีตัวตนนี่ แสนสบาย....

คุณจรรยา ยากค่ะ
ท่านอาจารย์ ยาก.....ยากค่ะ...เพราะมันติดมานาน....อย่างเขาสิเนรุ ใครจะไปขยับเขยื้อน และ อวิชชา มันยิ่งกว่านี้!!! มีแต่ ฟังไว้ ฟังไว้ เข้าใจไว้ แล้วก็ไม่ต้องไปคิดว่า "เมื่อไหร่?" ถึงเวลาก็มาเอง!!!เป็นเอง!!!

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณจรรยา ปิ่นประดับ
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
thassanee
วันที่ 18 มิ.ย. 2558

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง ขอบพระคุณคุณวันชัยที่นำธรรมะมาแบ่งปัน เพื่อความเข้าใจ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 18 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
สิริพรรณ
วันที่ 18 มิ.ย. 2558

กราบแทบเท้าบูชาพระคุณท่านอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาคุณจรรยา ปิ่นประดับ คุณวันชัย และกัลยาณมิตรทุกท่านค่ะ

ทุกภาพ ทุกอรรถะจากความเมตตาของท่านอ.เกื้อกูลการอบรมเจริญปัญญา ความเข้าใจ ความเห็นถูก จึงสมควรยิ่งค่ะ ต้องบันทึกไว้

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 18 มิ.ย. 2558

ก่อนอื่นๆ ..ขอขอบคุณพี่แอ๊ว (ฟองจันทร์) ที่ช่วยทำให้ความตั้งใจที่จะเลี้ยงข้าวท่านอาจารย์ซักครั้งบรรลุผล..จะว่าเป็นการตอบแทนพระคุณท่านอาจารย์ที่กรุณาให้ความรู้ทางธรรม นับได้กว่า10 ปี คงไม่อาจทดแทนแม้เศษเสี้ยวของพระคุณท่านอาจารย์ได้...

* * * บ่อยครั้งที่ออกไปทานข้าวในสถานที่ที่ชอบหรืออาหารอร่อยมักนึกถึงท่านอาจารย์อยากให้ท่านลองมาชิมบ้างค่ะ เรื่องนี้เคยเปรยกับหลายคน แต่ลึกๆ ก็คิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ เพราะทราบว่าคิวนัดท่านอาจารย์ยาวมาก.. ได้พูดเรื่องนี้กับพี่แอ๊วเพียงครั้งเดียว.ประสานท่านอาจารย์และนัดวันให้ทันที (นัดล่วงหน้าประมาณ 3 เดือน) ... ได้เรียนกับท่านอาจารย์ตามตรงว่า เป็นการทานอาหารจริงๆ ไม่จัดช่วงเวลาเพื่อสนทนาธรรมเลย

...กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างยิ่งค่ะเพราะนับเป็นวันหนึ่งที่มีความสุขใจยิ่ง

* * * รู้สึกทึ่งในความสามารถคุณวันชัยที่สามารถเขียนข้อความทางธรรม กรณีที่ท่านอาจารย์ได้รับเชิญไปตามสถานที่ต่างๆ ..ได้อย่างดีเยี่ยมและสามารถจับสาระการสนทนาธรรม นำมาเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านได้ ..แม้ว่าเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากๆ ๆ ..สมกับที่ได้รับความไว้วางใจ จากม.ศ.พ. ภาพสวยงามมาก. ไม่ขัดข้องนะคะถ้าคราวต่อไปจะใช้ app บ้าง...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
papon
วันที่ 18 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
swanjariya
วันที่ 18 มิ.ย. 2558

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง อนุโมทนาขอบพระคุณ คุณวันชัย ภู่งาม คุณจรรยา ปิ่นประดับ และทุกๆ ท่านที่ร่วมสนทนาธรรมค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
j.jim
วันที่ 18 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
peem
วันที่ 18 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
thilda
วันที่ 18 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
khampan.a
วันที่ 18 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
panasda
วันที่ 18 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
orawan.c
วันที่ 18 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ปวีร์
วันที่ 18 มิ.ย. 2558

งดงามเพราะพระธรรม

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
Boonyavee
วันที่ 20 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
ผู้มีความประมาท
วันที่ 18 มิ.ย. 2559

ขอบคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตของคุณจรรยา และคุณวันชัยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
Jarunee.A
วันที่ 31 ต.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ