เรื่องผีมีจริง มีผู้อ้างอิง พระไตรปิฏก

 
บรรดลอดทน
วันที่  28 มิ.ย. 2558
หมายเลข  26703
อ่าน  2,966

ผมอยากรู้ว่า พระไตรปิฎก หน้าที่ (เล่มที่12 บรรทัดที่8041-8046 หน้าที่330 -345) เขาอ้างมาว่ามีข้อความว่าอย่างไร ครับผม


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 28 มิ.ย. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

คำว่า ผี ความเข้าใจส่วนใหญ่ก็เข้าใจกันว่าเป็นบุคคลที่ตายแล้วและก็เป็นวิญญาณล่องลอยและปรากฏให้เห็นได้ แต่ในความเป็นจริงที่เป็นสัจจธรรมแล้ว เมื่อตายแล้วคือจุติจิตเกิดขึ้น ปฏิสนธิจิต (การเกิด) เกิดต่อเปลี่ยนภพภูมิทันที ไม่ใช่ว่าจะต้องมีวิญญาณล่องลอยที่จะคอยหาที่เกิดเป็นผีครับ ตายแล้วจะต้องเกิดทันทีครับ แต่จะเกิดเป็นอะไรนั้นก็แล้วแต่กรรมที่จะให้ผลครับ หากเกิดเป็นสัตว์ก็คงไม่เรียกว่าผี หากเกิดเป็นมนุษย์ก็คงไม่เรียกว่าผี แต่เมื่อเกิดเป็นเทวดาซึ่งเทวดาก็สามารถปรากฏให้เห็นได้ ใช่ผีหรือเปล่า ซึ่งในพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแบ่งภพภูมิเป็นหลายภพภูมิ ทั้งมนุษย์ สัตว์ดิรัจฉาน เปรต เทวดา เป็นต้น ผู้ใดก็ตามที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น เทวดาเปรต ก็เรียกว่าอมนุษย์ครับ

ส่วนในบางกรณีสำหรับการที่บางบุคคลพบกับบุคคลที่ตายไปแล้ว ยังมาให้เจออีก ประเด็นนี้เราควรมีความเข้าใจถูกครับว่าที่เห็นเป็นบุคคลที่ตายแล้ว ยังอยู่ให้เห็นก็เพราะสัตว์นั้นไปเกิดเป็นเปรตทันที ต้องการส่วนบุญเพราะเปรต อาหารที่เขาจะได้รับคือการอุทิศส่วนกุศลไปให้ แล้วจะทำอย่างไรให้เขารู้ได้ก็ด้วยการปรากฏให้เห็น เพื่อบุคคลอื่นจะได้ทำบุญไปให้กับเปรตนั้นครับ แต่จะต้องเข้าใจใหม่ว่าไม่ใช่เป็นวิญญาณล่องลอยที่คอยตามและแสวงหาที่เกิดแต่ตายแล้วเกิดทันทีครับ ผู้ที่เกิดเป็นเปรตต้องการส่วนบุญจึงปรากฏให้เห็น ซึ่งในพระไตรปิฎก สมัยพุทธกาลก็มีบางบุคคลเจอบุคคลที่ตายแล้ว เพื่อมาขอส่วนบุญกับบุคคลที่เจอโดยให้คนที่มีชีวิตอยู่อุทิศกุศลที่ทำไปแล้วไปให้เปรตได้รับรู้และอนุโมทนาครับ

วิญญาณ ในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่หมายถึง วิญญาณล่องลอยที่เป็นผี ตามที่่เข้าใจกันแต่หมายถึงสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ คือ เป็นสภาพรู้ เป็นใหญ่ในการรู้ เรียกว่าวิญญาณ คือ จิตนั่นเองครับ ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงวิญญาณก็คือสภาพธรรมที่เป็นจิต วิญญาณหรือจิตจึงมีหลายประเภท เช่น จักขุวิญญาณ หรือ จิตเห็น โสตวิญญาณ หรือ จิตได้ยิน

ดังนั้นเมื่อวิญญาณหรือจิตเกิดขึ้น เป็นสภาพรู้ ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ เช่น จิตเห็น (จักขุวิญญาณ) เมื่อเกิดขึ้นก็ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็นคือ สี เป็นต้น วิญญาณจึงไม่ได้หมายถึง ผี ตามที่เข้าใจกันครับ แต่วิญญาณหมายถึง สภาพธรรมที่เป็นจิต มีลักษณะเป็นสภาพรู้ เป็นใหญ่ในการรู้ครับ หากเป็นสัจจะความจริงก็จะเข้าใจขึ้น และไม่เข้าใจผิดในคำว่าผีตามภาษาไทยและความเข้าใจเดิมครับ สัตว์โลกมีภพภูมิมากมาย ตามอำนาจของกรรม และมีความหลากหลาย และความวิจิตรของสภาพธรรม ปัญญา ความเข้าใจพระธรรมจะเป็นเครื่องเตือนและเข้าใจความจริงในสิ่งที่รู้ และทราบในชีวิตประจำวันครับ

ที่สำคัญที่สุด ในสัจจะ ธัมมะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้สัตว์โลกเข้าใจความจริงที่สัตว์โลกยึดถือด้วยความเห็นผิดว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล มีผีมีสิ่งต่างๆ มากมาย แต่ในความจริงแล้ว สัจจะที่เป็นอริยสัจจะ พระองค์ทรงแสดงว่ามีแต่สภาพธรรมที่เป็นขันธ์ 5 ที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม มีแต่สภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป หากไม่มีสภาพธรรมไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน ไม่มีได้กลิ่น ไม่มีลิ้มรส ไม่มีสภาพธรรมอะไรเลย จะมีสัตว์ บุคคลหรือแม้แต่ผีที่เป็นเปรต จะมีได้ไหม มีไม่ได้เลยครับ เพราะฉะนั้นประโยชน์ของการ ศึกษาพระธรรม คือการเพิกถอนความเห็นผิดว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคลหรือมีผี ทั้งๆ ที่ความจริงมีแต่สภาพธรรมเท่านั้นในขณะนี้ที่คิดนึก เมื่อเราเข้าใจความจริงอย่างนี้ ย่อมเป็นปัจจัยให้สามารถอบรมปัญญา ดับกิเลสได้เพราะเป็นสัจจะ เข้าใจตามสัจจะที่พระองค์ทรงแสดง ผีมีเมื่อไหร่ ถ้าไม่มีเห็น ไม่มีได้ยินและไม่มีคิดนึก ผีจะมีได้ไหมครับ ดังนั้นเรากลัวอะไรนอกจากกลัวความคิดนึกของเราเองหลังจากเห็นและได้ยิน เพราะความจริงมีแต่สภาพธรรมครับ แต่เมื่อมีเหตุปัจจัย ปัญญายังไม่มากพอก็ยังกลัวเพราะความไม่รู้และกิเลสที่สะสมมา

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 28 มิ.ย. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตามความเป็นจริงแล้ว สัตว์โลก ไม่ได้มีเฉพาะมนุษย์ กับสัตว์ดิรัจฉาน เท่านั้น สัตว์โลกประเภทอื่น ที่มีนอกจากนี้ ก็มี คือ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เทวดา และพรหม ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงนั้น เพราะมีสภาพธรรมที่จริง กล่าวคือ จิต เจตสิก และรูป จึงมีการสมมติว่าเป็นสัตว์โลก เพราะฉะนั้น ขึ้นอยู่กับว่าจะเรียกสัตว์ในภพภูมิอื่นว่าอย่างไร ก็เรียกไปตามสมมติเท่านั้น แท้ที่จริงแล้ว สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่มี มีแต่ธรรม เท่านั้นจริงๆ
พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษานั้น แสดงถึงความเป็นจริง ของสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา โดยพระองค์ทรงใช้พยัญชนะที่หลากหลายมากมายในการแสดงพระธรรมเทศนา เพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจถึงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง สำหรับธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้น ไม่พ้นไปจากสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก จิตเป็นกุศล เป็นอกุศล เป็นวิบาก เป็นกิริยา โดยประมวลแล้ว เป็นจิต เจตสิก รูป หรือ เป็นนามธรรม กับ รูปธรรม เมื่อประมวลให้ย่อที่สุดแล้ว คือ เป็นธรรม หรือ เป็นธาตุ เมื่อเป็นธรรม เป็นธาตุแต่ละอย่างๆ จึงหาความเป็นสัตว์เป็นบุคคลไม่ได้เลย สภาพธรรมทั้งหลายเหล่านี้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และ เป็นอนัตตา ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ควรรู้ ควรศึกษาให้เข้าใจ และสามารถเข้าใจได้ ด้วยปัญญา
การศึกษาธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียด จุดประสงค์ก็เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ตามความเป็นจริง ถ้าไม่อาศัยการฟัง ไม่อาศัยการศึกษาอย่างต่อเนื่องด้วยความละเอียดรอบคอบแล้ว ย่อมไม่สามารถเข้าใจตามความเป็นจริงได้ ดังนั้น จึงต้องฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้นไปตามลำดับ ความรู้ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น แม้แต่.. ขณะที่คิดว่าผีมีจริงหรือเปล่า ขณะที่คิด นั้น สภาพคิดเท่านั้น ที่เป็นสิ่งที่มีจริง เรื่องที่คิด ไม่มีจริง ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
บรรดลอดทน
วันที่ 28 มิ.ย. 2558

ตามความเข้าใจของผม ก็มีความเข้าใจตามที่อาจารย์ทั้ง 2 ได้อธิบายมา และผมเองก็ได้อธิบายตามที่อาจารย์ทั้งสองบอก แต่คู่สนทนาของผม

ได้บอกอ้างอิงพระไตรปิฎก และยังบอกว่าจบนักธรรมเอกมา ผมจึงอยากจะรู้ว่า พระไตรปิฎกหน้าที่เขาอ้างอิงมา มีว่าอย่างไร ครับผม

คือเขาบอกให้ผมไปหาอ่านดูนะครับผม

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
peem
วันที่ 28 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
tanrat
วันที่ 28 มิ.ย. 2558

การติดในเรื่องราว ไม่เป็นแต่เพียงชาตินี้ ในหลายชาติก็มีมา พระธรรมที่ทรงแสดงเป็นเรื่องของความจริง สาระ และประโยชน์ พอกล่าวว่าอริยสัจจะ ก็อยากรู้เป็นอย่างไร จะทำขึ้นมา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
kullawat
วันที่ 29 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 30 มิ.ย. 2558

ภูมิที่เป็นที่เกิดของสัตว์ทั้งหลายมี 31 ภูมิ เช่น มนุษย์ เทวดา พรหม สัตว์เดรัจฉาน อะไรก็ตามที่ไม่ใช่มนุษย์ เรียกว่า อมนุษย์ แล้วแต่จะเข้าใจ ถ้าคนที่ตายไปเกิดเป็นเปรต อสุรกายเขา ก็เรียกกันว่า ผี เพราะไม่ใช่มนุษย์ ในพระไตรปิฏกก็มีแสดงไว้เยอะ เรื่องเปรต เรื่องเทวดา เรื่องนรก ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Tommy9
วันที่ 3 ก.ค. 2558

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
WS202398
วันที่ 3 ก.ค. 2558

คลิกที่นี่อ่าน //etipitaka.com/read/thai/12/330/ พระไตรปิฎก หน้าที่ (เล่มที่12 บรรทัดที่8041-8046 หน้าที่330 -345)

ผู้อ้างคงเข้าใจผิดครับ สูตรนี้ พระพุทธองค์ทรงตำหนิพระรูปหนึ่ง ที่มีมิจฉาทิฎฐิว่า วิญญาณเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีคำว่าผีในสูตรนี้เลยครับ

จิต มโน วิญญาณ เกิดดับตลอดเวลา คำว่า ผี ไม่มีพุทธบัญญัติ แต่มี เปรต อสุรกาย สัตว์นรก เป็นต้น

ที่ควรถาม คือ ผี คืออะไร มิใช่ ผี มีจริงหรือไม่ แต่ถ้าศรัทธาตถาคต ก็อย่าไปสนใจคำว่า ผี เลยครับ เพราะพระพุทธเจ้าไม่เคยบัญญัติ สิ่งที่เรียกว่า "ผี"

แล้วอะไรล่ะที่เวียนว่ายตายเกิด ถ้าไม่ใช่ "ผี" ไม่ใช่ "วิญญาณ" อ่านสูตรนี้ครับ สัตตสูตร ว่าด้วยเหตุที่เรียกว่าสัตว์

//etipitaka.com/read/thai/17/191/

แล้วที่ทรงตรัสว่า สัตว์ นั่นละ เวียนว่ายตายเกิด

เล่ม 16 หน้า 289 ธีตุสูตร
[๔๕๕] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ สัตว์ที่ไม่เคยเป็นธิดาโดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ภิกษุทั้งหลายพวกเธอได้เสวยทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูนปฐพีที่เป็นป่าช้าตลอดกาลนาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๙

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Jarunee.A
วันที่ 22 ต.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ