ถ้าไม่สมาทานศีล จะมีศีลได้หรือไม่

 
chatchai.k
วันที่  2 ก.ค. 2558
หมายเลข  26717
อ่าน  1,389

การสมาทานศีลเป็นกิจของชาวพุทธหรือไม่ ควรสมาทานบ่อยแค่ไหนครับ ถ้าผู้นั้นไม่สมาทานศีล จะมีศีลหรือรักษาศีลได้หรือไม่ครับ และขั้นตอนการสมาทานศีลเป็นอย่างไรครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 2 ก.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สมาทาน หมายถึง การถือเอาด้วยดี การถือเอาเป็นข้อปฏิบัติด้วยดี โดยไม่จำเป็นต้องมีการกล่าวเป็นข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นเรื่องของเจตนาในการที่จะงดเว้นจากสิ่งที่ควรงดเว้น ซึ่งสิ่งที่ควรงดเว้นเป็นนิตย์ ในชีวิตประจำวันมี ๕ ประการ คือเว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจากการประพฤติผิดในกาม เว้นจากการพูดเท็จ และเว้นจากการดื่มสุราเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ซึ่งจะเห็นได้ว่าไม่พ้นไปจากความประพฤติเป็นไปทางกาย วาจา ของแต่ละบุคคลเลย ครับ

ซึ่งการรักษาศีลจุดประสงค์ คือ เห็นโทษของกิเลส และ เพื่อขัดเกลากิเลส ไม่ใช่เพื่อที่จะได้อานิสงส์ของศีล และ ศีลก็ไม่ได้หมายความว่า เมื่อสมาทานแล้ว จะมีศีลตลอดเวลา ขณะที่เป็นศีล คือ ขณะจิตที่สมาทาน รักษา และ ขณะที่งดเว้นจากบาป ในขณะนั้น ยกตัวอย่างเช่น ขณะใดที่มีเจตนารักษาศีล ขณะจิตนั้น ก็เป็นศีล และขณะจิตต่อไป ก็เป็นอกุศลจิตแล้ว จะกล่าวว่า เป็น กุศลศีลอีกไม่ได้ แล้วครับ จึงต้องพิจารณาทีละขณะจิต และ ขณะที่งดเว้นจากการตบยุง ในขณะนั้น ก็เป็นกุศลศีลที่งดเว้นจากบาป ครับ จะเห็นนะครับว่า ขณะที่เป็นศีล ก็ต้องเป็นขณะจิตนั้นไม่ได้เหมารวมทั้งหมด ว่า ไม่ทำอะไร จะมีศีล เพราะ ไม่เช่นนั้น เด็กอ่อน ทีเพิ่งเกิดไม่ทำอะไร ก็มีศีล หรือ สมาทานเพียงครั้งเดียว ไม่ทำอะไรเลย จะมีศีลไปตลอดไม่ใช่เช่นนั้นครับ เพราะ หลังจากสมาทานศีลแล้ว จิตขณะต่อไปก็เป็นอกุศล โกรธคนอื่น ตอนนึกในใจก็ได้ จะกล่าวว่า เป็นผู้ที่ศีล ที่เป็นกุศลศีลได้อย่างไร ครับ และแม้ขณะที่หลับสนิท เป็นภวังคจิต เป็นจิตชาติวิบาก ไม่ใช่จิตชาติกุศล ก็ไม่ได้มีกุศลศีลในขณะนั้น ครับ

เพราะฉะนั้น การรักษาศีลเพื่อขัดเกลากิเลสทางกาย วาจา เพื่อประโยชน์กับคนรอบข้าง ไม่ใช่เพื่อตนเอง จะได้ไม่ล่วงศีล ได้อานิสงส์ผลบุญจึงควรรักษาทุกกาล โอกาส โดยเฉพาะการสมาทาน รักษา ตั้งแต่เช้าในชีวิตประจำวัน ส่วนจะรักษาได้ ไม่ได้ก็ตามเหตุปัจจัย ตามอำนาจของกิเลส ครับ

ขอเชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เกี่ยวกับการรักษาศีล

ศีลจะสำเร็จได้ก็ด้วยการมีเมตตา คือ ขณะนั้นไม่ประกอบด้วยโทสะ เช่น ในข้อของปาณาติบาต การฆ่าสัตว์ที่มีชีวิต ถ้าขณะนั้นเกิดเมตตา ย่อมไม่สามารถที่จะฆ่าผู้อื่นได้หรือแม้แต่จะเบียดเบียนประทุษร้ายด้วยกาย หรือด้วยวาจาก็ตาม ถ้าเกิดเมตตาขึ้นทันทีในขณะนั้น ย่อมงดเว้นการที่จะเบียดเบียนประทุษร้ายด้วยกาย ด้วยวาจา แต่ถ้าขณะนั้นเมตตาไม่เกิด ก็ย่อมเป็นไปตามกำลังของกิเลส

แม้ในข้อของอทินนาทาน คือ การถือเอาวัตถุที่เจ้าของไม่ให้ ก็เช่นเดียวกัน ถ้าท่านเป็นผู้มีเมตตาในบุคคลผู้เป็นเจ้าของ รู้ว่าเขาจะต้องเสียใจ เสียดายในการที่จะสูญเสียวัตถุ ซึ่งเป็นประโยชน์ของเขาไป ถ้าท่านมีจิตเมตตาในขณะนั้น ท่านย่อมไม่สามารถที่จะถือเอาของที่เจ้าของไม่ได้ให้ กาเมสุมิจฉาจาร คือ การประพฤติผิดในกาม ก็เช่นเดียวกัน ย่อมทำความเดือดร้อนให้กับวงศาคณาญาติของผู้ที่ท่านกระทำทุจริตกรรม เพราะฉะนั้น ถ้าขณะนั้นท่านมีเมตตาคิดถึงบุคคลอื่น ไม่ต้องการให้บุคคลอื่นเดือดร้อน ท่านก็จะละการล่วงทุจริตกรรมข้อนี้ได้

แม้ข้อของมุสาก็เช่นเดียวกัน การที่ท่านพูดไม่จริง เป็นการเบียดเบียนบุคคลอื่นไม่ให้คนอื่นได้รู้เรื่องจริง ไม่ให้คนอื่นได้รู้ความจริง ความโกรธ ความประทุษร้ายไม่เมตตาต่อผู้อื่น จึงกล่าวมุสาได้ (แต่ถ้าเมตตาเกิด ก็ย่อมไม่กระทำอย่างนั้นแน่นอน)

แม้การดื่มสุราก็เช่นเดียวกัน เวลาที่ดื่มสุราแล้วขาดสติ หลงลืมสติอย่างมากและผู้ที่ดื่มสุราก็เป็นผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ เมื่อมีสุราเป็นเชื้อ เป็นปัจจัยให้กิเลสเหล่านั้นเกิดมีกำลังกล้าขึ้น ย่อมจะสามารถทำทุจริตกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นการเบียดเบียนบุคคลอื่นให้เดือดร้อนได้ เพราะฉะนั้น เรื่องของศีลทั้งหมดก็เป็นเรื่องของการที่จะรักษาได้ด้วย อโทสะ คือ การมีเมตตาต่อสัตว์อื่น ต่อบุคคลอื่น นั่นเอง

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 2 ก.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงถึงสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมที่มีจริงที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยแม้แต่เรื่องศีลก็เช่นเดียวกัน ไม่พ้นจากธรรม การประพฤติในสิ่งที่ถูกต้องดีงามก็เป็นศีล การงดเว้นจากสิ่งที่ควรงดเว้นอันเป็นสิ่งที่ผิดนั้นก็เป็นศีล แม้ไม่ได้เปล่งคำใดๆ ก็ตาม แต่มีความจริงใจที่จะถือเอาเป็นข้อปฏิบัติด้วยดี เพราะฉะนั้นศีลจึงเป็นสภาพจิตที่ดีงามและเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 2 ก.ค. 2558

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 2 ก.ค. 2558

ศีลคือ ปกติ ชีวิตประจำวันปกติเป็นอกุศลเกือบทั้งวันจึงเป็นอกุศลศีล ขณะที่เป็นไปในทาน การวิรัติทุจริต การอบรมเจริญความสงบของจิต การอบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จิตก็เป็นกุศลเป็นกุศลศีล แม้กล่าวคำสมาทานศีลไว้แต่ขณะใดไม่เป็นไปในการให้ การสละสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ไม่วิรัติงดเว้นทุจริต ไม่เป็นไปกับการอบรมความสงบของจิต และการอบรมเจริญปัญญาเพื่อความเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏแล้ว ก็เป็นอกุศลศีล

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
tanrat
วันที่ 2 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
thilda
วันที่ 3 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Jarunee.A
วันที่ 21 ต.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ