ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๐๒

 
khampan.a
วันที่  5 ก.ค. 2558
หมายเลข  26734
อ่าน  2,207

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๐๒

# ทุกท่านกำลังนั่งอยู่ที่นี่ ไม่มีเครื่องหมายที่จะให้รู้เลยว่า ชีวิตของใครจะอยู่ต่อไปถึงพรุ่งนี้ หรือว่าเดือนหน้า หรือว่าปีหน้า ไม่มีเครื่องหมายให้รู้ว่า จากที่นี้ไปแล้ว อะไรจะเกิดขึ้น จะเป็นสุข หรือว่าจะเป็นทุกข์ จะประสบกับอิฏฐารมณ์ (อารมณ์ที่น่าพอใจ) หรืออนิฏฐารมณ์ (อารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ) จะมีอุบัติเหตุ หรือไม่มีอุบัติเหตุ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ เพราะว่าชีวิตไม่มีเครื่องหมาย ใครๆ ก็รู้ไม่ได้

# ไม่มีใครสามารถที่จะไปหยุดยั้งปัจจัยที่ทำให้เกิดการเห็น ซึ่งเป็นกิจการงานอย่างหนึ่ง จิตเกิดขึ้นทำอะไร ทำกิจเห็น ต้องเห็น ขณะนี้ทำกิจแล้ว คือ เห็น มีปัจจัยที่จะทำให้จิตได้ยินเกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถที่จะยับยั้งไม่ให้จิตได้ยินเกิดขึ้น เมื่อมีปัจจัย จิตก็เกิดขึ้นกระทำกิจได้ยิน เป็นการทำงานแต่ละขณะจิตจริงๆ ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

# ยังนึกถึง ยังใฝ่ใจ ยังครุ่นคิดอยู่ตราบใด ก็ย่อมจะไม่พ้นจากความทุกข์ใจ ถ้าจะให้สบายใจจริงๆ คือ ไม่สนใจเลยจริงๆ ในบุคคลนั้น ไม่ว่าจะกระทำอะไรก็ตามแต่ ก็เป็นเรื่องของบุคคลนั้นจริงๆ ไม่ควรที่จะเสียเวลาเดือดร้อนใจ ใฝ่ใจ คิดถึงการกระทำที่ไม่สมควรของบุคคลนั้น ถ้าบุคคลนั้นจะกระทำอะไรก็เป็นเรื่องของบุคคลนั้น ก็เป็นเรื่องของเขา เมื่อไม่ใส่ใจ ไม่ใฝ่ใจ คิดถึงในบุคคลนั้น ก็ย่อมจะสบายใจมาก คือ ไม่เดือดร้อนใจเลยใครทำอะไรก็เป็นเรื่องของบุคคลนั้นไป ไม่ต้องระลึกถึงด้วยขุ่นเคืองใจ

# วิญญาณ คือ นามธรรม ไม่ใช่รูปใดๆ เลย ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส ไม่มีเสียง เป็นแต่เพียงธาตุรู้ สภาพรู้ อาการรู้ วิญญาณไม่มีขาที่จะออกจากตัวคนตาย ไม่มีปีก ไม่มีแขน เพราะเหตุว่าเป็นเพียงธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปทันที เกิดขึ้นทำกิจรู้แล้วก็ดับไปทันที ขณะที่เห็นในขณะนี้ จิตเห็นเกิดแล้วดับทันที แล้วก็มีจิตอื่นเกิดดับสืบต่อทันที แล้วก็ดับทันที เป็นจิตแต่ละประเภท แต่ละชนิด ซึ่งเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย

# ก่อนที่จะปฏิสนธิเป็นบุคคลนี้ ก็ต้องจุติ คือ เคลื่อนจากความเป็นบุคคลในชาติก่อน และอีกไม่นานจุติจิตก็จะเกิด แล้วก็จะทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ แล้วกรรมหนึ่งก็จะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด แล้วแต่ว่าจะเป็นกุศลกรรมที่ทำให้เกิดในสุคติภูมิ อกุศลกรรมทำให้เกิดในทุคติภูมิ

# กุศลจิตเป็นเรื่องที่ประกอบด้วยศรัทธา และก็โสภณสาธารณเจตสิกอื่นๆ ซึ่งก็จะเห็นได้ว่า มีทั้งสติที่ระลึกได้ มีทั้งศรัทธา สภาพที่ผ่องใส และมีสภาพที่เป็นหิริ ความรังเกียจอกุศล และมีโอตตัปปะ ซึ่งเป็นสภาพที่เกรงกลัวอกุศล ถอยกลับจากอกุศล

# รู้สึกว่าเรื่องใหญ่ของทุกชีวิตก็คือ เรื่องความโกรธ ความไม่พอใจ ซึ่งถ้าเราจะค้นคิดให้ลึกลงไปอีกว่า ความโกรธเกิดขึ้นได้อย่างไร มาจากไหน เราก็อาจจะพบต้นตอที่ทำให้เราต้องโกรธบ่อยๆ ซึ่งถ้าเรารู้จักต้นตอจริงๆ แล้ว เราก็จะคลายความโกรธลงไปได้ เพราะฉะนั้นต้องรู้สาเหตุของความโกรธว่า สาเหตุของความโกรธอยู่ที่ไหน สาเหตุของความโกรธก็คือ มีความพอใจอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วไม่ได้ อย่างที่ต้องการ

# อกุศลจิตไม่มีทางที่จะให้ถึงซึ่งการดับกิเลสได้เลย

# ปัญญาไม่มีทางที่จะเป็นอกุศล

# ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเป็นไปเพื่อปัญญาโดยตลอด

# ไม่รู้แล้วไปปฏิบัติ นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

# ความเห็นผิดย่อมขัดแย้งกับความเห็นถูก

# ทันทีที่จิตขณะหนึ่งดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่น

# ไม่มีเขา ไม่มีเรา มีแต่ธรรมเท่านั้น

# มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม ก็ฟังไป สะสมเป็นอุปนิสัยในการฟังพระธรรมต่อไป

# พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่มีเลื่อนลอย แต่แสดงถึงสิ่งที่มีจริงโดยละเอียดยิ่ง เป็นเหตุ เป็นผล

# โกรธแล้วฆ่าผู้อื่น นั้น เป็นเวรของผู้ฆ่า ไม่ใช่ของผู้ถูกฆ่า เพราะเวร คือ อกุศลกรรมซึ่งจะเป็นเหตุทำให้ผลที่ไม่ดีเกิดขึ้น

# ขณะใดที่กุศลจิตเกิด จะไม่ให้ผลเป็นทุกข์เลย

# โลกร่มเย็นเพราะเมตตา แต่ที่เดือดร้อนไม่ร่มเย็นเพราะขาดเมตตา

# ความเข้าใจพระธรรม นำมาซึ่งความสุข ไม่นำทุกข์มาให้เลยแม้แต่น้อย

# ธรรม มีอยู่แล้วทุกขณะ ขอเพียงฟัง เมื่อมีการฟัง จึงจะเข้าใจธรรมได้

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ


ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๐๑

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
สิริพรรณ
วันที่ 5 ก.ค. 2558

กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า

กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอ.สุจินต์ที่เคารพอย่างสูง

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณในกุศลวิริยะ ท่าน อ.คำปั่น ค่ะ

ทุกถ้อยคำเป็นความจริงและมีคุณค่าในการอบรมเจริญปัญญาเป็นอย่างยิ่ง ขอน้อมรับด้วยความเคารพค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ดวงทิพย์
วันที่ 5 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 5 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
thilda
วันที่ 5 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Boonyavee
วันที่ 5 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Wisaka
วันที่ 6 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
siraya
วันที่ 6 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 6 ก.ค. 2558

สาธุ อนุโมทนาและขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
j.jim
วันที่ 6 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
raynu.p
วันที่ 6 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
raynu.p
วันที่ 6 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
เมตตา
วันที่ 6 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และชออนุโมทนาในดุศลวิริยะของ อฺ.คำปั่น ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
jaturong
วันที่ 6 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
Noparat
วันที่ 6 ก.ค. 2558

ปัญญาไม่มีทางที่จะเป็นอกุศล

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
Phutporn
วันที่ 6 ก.ค. 2558

กราบขอบพระคุณ และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านอาจารย์ด้วยนะค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
ปวีร์
วันที่ 6 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
chatchai.k
วันที่ 7 พ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
เจียมจิต
วันที่ 29 พ.ย. 2563

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
มังกรทอง
วันที่ 19 ก.พ. 2565

กุศลจิตเป็นเรื่องที่ประกอบด้วยศรัทธา และก็โสภณสาธารณเจตสิกอื่นๆ ซึ่งก็จะเห็นได้ว่า มีทั้งสติที่ระลึกได้ มีทั้งศรัทธา สภาพที่ผ่องใส และมีสภาพที่เป็นหิริ ความรังเกียจอกุศล และมีโอตตัปปะ ซึ่งเป็นสภาพที่เกรงกลัวอกุศล ถอยกลับจากอกุศล

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ก.พ. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ