สัมมาสมาธิเป็นไปเพื่อละ เห็นโทษของอกุศล
สัมมาสมาธิต้องเป็นไปเพื่อละ เพื่อคลายความติดข้องใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เพราะผู้เจริญสัมมาสมาธินั้น มีปัญญาเห็นโทษของอกุศลคือ ทั้งโลภะและโทสะ ไม่ใช่เพื่อความติดในสุขเวทนา หรือเพราะให้ว่างๆ สบายๆ หรือเพื่อจะได้นั่งนานๆ โลภะนี้เห็นยากจริงๆ สมดังที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสไว้ว่า สองอริยสัจแรกลึกซึ้งจึงเห็นยาก สมุทัยนี้ลึกซึ้งจึงเห็นยากจริงๆ
สัมมาสมาธิต้องเป็นไปเพื่อละ
สัมมาสมาธิ เป็นองค์หนึ่งของมรรคมีองค์แปด แต่สภาพธัมมะจะไม่เกิดอย่างเดียว ต้องมีสภาพธัมมะอื่นประกอบด้วย ที่สำคัญคือ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ (ปัญญา) เป็นเหมือนสารถี ที่จูงไปถูกทาง สิ่งใดที่เพื่อได้ ย่อมไม่ใช่ทาง สิ่งใดเพื่อละ เป็นทางที่ถูก แต่ละ มีหลายระดับ การให้ทานก็ละความตระหนี่ ในขณะนั้น แต่ก็ไม่สามารถดับกิเลสคือความตระหนี่ได้หมด ขั้นศีล ก็เช่นเดียวกัน ขั้นสมถภาวนา ก็มีสัมมาสมาธิเกิดด้วย แต่ละกิเลสไหม ก็ไม่ แค่ข่มเอาไว้ เมื่อมีเหตุปัจจัย กิเลสก็เกิดขึ้นมาอีก แต่ วิปัสสนา มีสัมมาสมาธิ เกิดด้วยเช่นกัน แต่เป็นไปเพื่อการละกิเลสหมดเป็นสมุจเฉท ดังนั้น ต้องเข้าใจ สัมมาสมาธิว่า มีหลายระดับ และแต่ละระดับ ละกิเลสได้ไหมครับ
ขณะที่ฟังธรรมเข้าใจ ขณะนั้นก็ละความไม่รู้ทีละเล็กทีละน้อย
แม้แต่การให้ทานครั้งหนึ่ง ก็ละความตระหนี่ได้ขณะสั้นๆ
ขณะที่สติปัฎฐานเกิด ก็ละคลายอกุศลได้ชั่วขณะ ขณะนั้นก็มีสัมมาสมาธิเกิดร่วมด้วยตัณหา มานะ ทิฏฐิ เป็นธรรมเครื่องเนิ่นช้า (ทำให้วนเวียนอยู่ในสังสารวัฎ)
ขออนุโมทนา
จุดมุ่งหมายของการประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อสำรอกราคะ เพื่อละสังโยชน์ เพื่อถอนอานุสัย เพื่อรู้รอบสังสารวัฎอันยืดยาว เพื่อความสิ้นอาสวะ เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งผลคือ วิชชาและวิมมุติ เพื่อญาณทัศนะ เพื่อปรินิพพานอันปราศจากอุปทาน.