เรื่องเงินและของหลังจากสึกควรทำอย่างไร
ตอนนี้พระบวชได้เดือนแล้วใกล้จะครบกำหนดสึกจึงอยากทำให้ถูกต้องและสบายใจจึงอยากจะถามดังนี้
1. เรื่องเงินที่ญาติโยมถวายตอนงานต่างๆ หรือใส่ย่ามก็ดี จริงๆ จะถวายให้แก่วัดที่อยู่ บางส่วนและอยากจะถวายแก่วัดที่ยังไม่เจริญหรือทำบุญทำทานตามมูลนิธิต่างๆ จึงแยกถามดังนี้
1.1 เงินที่ญาติโยมถวายนี้ต้องให้แก่วัดอย่างเดียวหรือให้มูลนิธิก็ได้
1.2 หากเราสละเงินแก่โยมพ่อโยมแม่ไว้ก่อนแล้วพอสึกนำเงินไป บริจาควัดอื่นๆ หรือทำบุญทำทานตามมูลนิธิ อย่างนี้จะถือว่าติดหนี้สงฆ์หรือไม่ และพ้นจากอาบัติไหม
1.3 หากนำเงินเหล่านั้นบางส่วนมาใช้ เพื่อหางานตั้งตัว แล้วใช้หนี้สงฆ์คืนทีหลังโดยเขียนหน้าซองหรือตั้งอธิษฐานจิตตามจำนวนที่ได้นำไปใช้ จะได้หรือไม่ (อันนี้ถามเผื่อจำเป็น)
2.พวกของใช้ เช่น พัดลม มือถือ หากจะนำกลับไปใช้หลังจากสึกแล้ว ควรจะทำอย่างไร
2.1ควรให้โยมพ่อโยมแม่ก่อนจะสึก หรือ พอสึกแล้วก็มาถือกลับไปได้เลย ควรจะทำแบบไหน กลัวว่าจะกลายเป็นติดหนี้สงฆ์โดยไม่รู้ตัว
2.2. ของที่นำมาก่อนบวช (มานอนวัดก่อน) เช่น นาฬิกา ปลั๊กไฟ ไฟฉาย พอสึกแล้วนำกลับไปได้เลยหรือไม่ หรือควรทำอย่างไร
อาจจะถามเยอะหน่อย แต่อยากจะทำให้ถูกต้องและสบายใจ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตอนนี้พระบวชได้เดือนแล้วใกล้จะครบกำหนดสึกจึงอยากทำให้ถูกต้องและสบายใจจึงอยากจะถามดังนี้
1. เรื่องเงินที่ญาติโยมถวายตอนงานต่างๆ หรือใส่ย่ามก็ดี จริงๆ จะถวายให้แก่วัดที่อยู่ บางส่วนและอยากจะถวายแก่วัดที่ยังไม่เจริญหรือทำบุญทำทานตามมูลนิธิต่างๆ จึงแยกถามดังนี้
1.1 เงินที่ญาติโยมถวายนี้ต้องให้แก่วัดอย่างเดียวหรือให้มูลนิธิก็ได้
# พระภิกษุรับเงินรับทองไม่ได้ เป็นอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ตั้งแต่ขณะรับแล้ว ต้องมีการสละในท่ามกลางสงฆ์ตามพระธรรมวินัย จึงจะแสดงอาบัติตก แล้วคฤหัสถ์ผู้ฉลาดก็สามารถที่จะนำเงินนี้ไปใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมได้ ทั้งแก่วัดหรือมูลนิธิต่างๆ หรือแม้แก่ประเทศชาติก็ยังได้ เพราะเงินนั้นพระภิกษุได้สละตามพระธรรมวินัยแล้ว โดยที่พระภิกษุจะต้องไม่เกี่ยวกับเงินนั้นโดยประการทั้งปวง สละไปแล้วจะไปรับกลับคืนมาหรือดำเนินการใดๆ ไม่ได้
1.2 หากเราสละเงินแก่โยมพ่อโยมแม่ไว้ก่อนแล้วพอสึกนำเงินไป บริจาควัดอื่นๆ หรือทำบุญทำทานตามมูลนิธิ อย่างนี้จะถือว่าติดหนี้สงฆ์หรือไม่ และพ้นจากอาบัติไหม
# จริงๆ แล้ว เงินนั้นเขาถวายแก่ตัวพระภิกษุ ดังนั้น ก่อนลาสิกขาเป็นคฤหัสถ์ก็ควรจะสละเงินนั้นในท่ามกลางสงฆ์ตามพระธรรมวินัยก่อนค่อยลาสิกขา (การสละให้แก่พ่อแม่ไม่ใช่การสละตามพระธรรมวินัย) จะนำเงินนั้นมาใช้ไม่ได้ เงินนั้นก็จะต้องเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมดังกล่าวข้างต้น แต่ถ้าหากพระคุณเจ้าได้ลาสิกขาไปโดยได้กระทำตามที่กล่าวในประเด็นคำถาม ก็ไม่มีอาบัติแล้ว เพราะเป็นคฤหัสถ์ไม่มีอาบัติ เพียงแต่กระทำไม่ถูกต้องเท่านั้น และไม่มีการติดหนี้สงฆ์ เพราะหนี้สงฆ์ ไม่มี
1.3 หากนำเงินเหล่านั้นบางส่วนมาใช้ เพื่อหางานตั้งตัว แล้วใช้หนี้สงฆ์คืนทีหลังโดยเขียนหน้าซองหรือตั้งอธิษฐานจิตตามจำนวนที่ได้นำไปใช้ จะได้หรือไม่ (อันนี้ถามเผื่อจำเป็น)
# ตามที่กราบเรียนแล้วว่า เงินนั้นเขาถวายแก่ตัวพระภิกษุ ดังนั้น ก่อนลาสิกขาก็ควรจะสละเงินนั้นตามพระธรรมวินัยก่อนค่อยลาสิกขา จะนำเงินนั้นมาใช้ไม่ได้ เงินนั้นก็จะต้องเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม ถ้าทำอย่างนี้ก็จะสบายใจ ไม่เดือดร้อนใจ เมื่อเป็นคฤหัสถ์แล้วก็สามารถทำงานประกอบอาชีพ เก็บเงินได้ เพราะไม่ใช่พระภิกษุแล้ว และ ขอกราบเรียนว่า ไม่มีคำว่าหนี้สงฆ์ในพระพุทธศาสนา ถ้าคิดว่าสิ่งใดจะเป็นประโยชน์แก่วัด แก่พระพุทธศาสนาก็สามารถที่จะกระทำได้เลย โดยไม่ต้องกังวลใจถึงคำว่าหนี้สงฆ์
2.พวกของใช้ เช่น พัดลม มือถือ หากจะนำกลับไปใช้หลังจากสึกแล้ว ควรจะทำอย่างไร
2.1ควรให้โยมพ่อโยมแม่ก่อนจะสึก หรือ พอสึกแล้วก็มาถือกลับไปได้เลย ควรจะทำแบบไหน กลัวว่าจะกลายเป็นติดหนี้สงฆ์โดยไม่รู้ตัว
# ถ้าเป็นของที่ได้ในขณะบวช ควรมอบไว้กับวัด ถ้าเป็นของส่วนตัวที่นำมาก่อนบวช เช่น มือถือ ก็สามารถนำกลับได้ แต่เป็นที่น่าพิจารณาว่า พระภิกษุเป็นเพศที่ขัดเกลาอย่างยิ่ง มือถือ แทบเล็ต ไม่เหมาะควรแก่เพศบรรพชิตเลย
2.2. ของที่นำมาก่อนบวช (มานอนวัดก่อน) เช่น นาฬิกา ปลั๊กไฟ ไฟฉาย พอสึกแล้วนำกลับไปได้เลยหรือไม่ หรือควรทำอย่างไร
#ตามที่กราบเรียนแล้วว่า ถ้าเป็นของส่วนตัวที่นำมาก่อนบวช ก็สามารถนำกลับได้ แต่ถ้าจะสบายใจ ก็สามารถถวายไว้เป็นส่วนกลางในวัดก็ได้
และ ขอกราบเรียนย้ำอีกทีว่า เมื่อเป็นคฤหัสถ์แล้ว ไม่มีอาบัติติดตัวแต่อย่างใด แม้ว่าจะไม่ได้กระทำคืนเช่นไม่ได้ปลงอาบัติเป็นต้น ในขณะที่เป็นพระภิกษุอยู่ก็ตาม เมื่อเป็นคฤหัสถ์แล้วก็ควรเป็นคฤหัสถ์ที่ดี ด้วยการสะสมความดีและฟังพระธรรมให้เข้าใจ ทำกิจที่ควรทำ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...