ขณะเจริญกรรมฐาน มีเสียงเพลงและดนตรี มารบกวนในจิตใจ ทั้ง ๆที่ไม่มีใครเปิดเลย จะแก้อย่างไร?
ขณะเจริญกรรมฐาน มีเสียงเพลงและดนตรี มารบกวนในจิตใจ ทั้งๆ ที่ไม่มีใครเปิดเลย จะแก้อย่างไร? เหมือนกับว่า ก่อนหน้าที่จะเจริญกรรมฐานได้ฟังเพลงนั้นมาก่อน แล้วเกิดติดใจ ชอบใจ หรือมีความยินดีเวลาเจริญกรรมฐาน ก็ตามติดมาในอารมณ์ จะแก้อย่างไรดี?
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก่อนอื่น จะต้องเข้าใจความจริงครับว่า วิปัสสนา คือ อะไร ในขั้นการฟัง ให้ถูกต้องเสียก่อนว่า คือ อะไร
วิปัสสนา คือ ปัญญาที่รู้สภาพธรรมที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ ว่าเป็นแต่เพียงธรรมะไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น สิ่งที่เป็นเครื่องกั้น ไม่ให้สามารถเจริญวิปัสสนาได้ คือ ความไม่มีปัญญา เพราะ ไม่มีการอบรมปัญญา ขั้นการฟัง ที่ถูกต้องมานั่นเอง เพราะฉะนั้น เสียงดังรบกวน ไม่ใช่เป็นเครื่องกั้นการเกิดปัญญา ในการเจริญวิปัสสนา เพราะตามที่กล่าวแล้วว่า วิปัสสนา คือ ปัญญาที่รู้สภาพธรรม ตามความเป็นจริง ซึ่ง สภาพธรรมที่มีจริงคือ สิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ ทั้งที่เป็นนามธรรม คือ จิต เจตสิก และรูปธรรม
ดังนั้น เสียงที่ได้ยิน ก็มีจริงเป็นธรรมะ ควรรู้ว่าไม่ใช่เรา อกุศลมี เกิดความชอบในเพลงนั้น ความชอบที่เกิดขึ้นเกิดขึ้นแล้ว มีจริง เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏเช่นกัน ควรรู้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมะไม่ใช่เรา
จะเห็นได้ว่า การเจริญวิปัสสนา จึงไม่ใช่การหาที่สงบ สงัด เพราะ สิ่งที่เป็นความสงบจริงๆ คือ สภาพจิต ที่สงบจากสภาพธรรม ที่ไม่สงบ คือ สงบจากอกุศลจิต ซึ่งจะทำให้สงบได้ คือ จะต้องมีปัญญา เพราะฉะนั้น การเจริญวิปัสสนา จึงเป็นการเจริญอบรมปัญญา ในชีวิตประจำวัน ที่ไม่ผิดปกติ ไม่ไปหาสถานที่ เพราะ ทุกๆ ที่ และ ที่กำลังดำเนินชีวิต เกิดกุศลบ้าง อกุศลบ้าง เห็น ได้ยิน เป็นต้น ล้วนแล้วแต่ เป็นแต่เพียงธรรมะที่ปัญญาควรรู้ทั้งสิ้น ครับ
ดังนั้น การเจริญวิปัสสนาที่ถูกต้อง คือ อาศัยการฟังพระธรรม ในแนวทางที่ถูกต้องคือ เป็นการเจริญสติ ในชีวิตประจำวัน ปัญญาเกิด รู้ความจริง ในชีวิตประจำวัน เมื่ออบรมหนทางที่ถูกต้อง ปัญญาสามารถเกิดได้ ไม่ว่าในสถานที่ใด หรือสภาพจิตอะไร ที่เกิดขึ้น กลับมาที่ การฟังให้เข้าใจเป็นเบื้องต้นก่อน ครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม คือ เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก ไม่ใช่เพื่อให้ไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ ปกติความไม่รู้ก็มีมากอยู่แล้ว ถ้ายิ่งมีการไปทำอะไรที่ผิดปกติ ด้วยความไม่รู้ด้วยความเห็นผิด ด้วยความเป็นตัวตน ก็ยิ่งเพิ่มความไม่รู้ให้มีมากขึ้น ดังนั้น จึงควรอย่างยิ่งที่จะต้องกลับมาตั้งต้นใหม่ที่การตั้งใจฟังพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งเป็นการดำเนินไปตามหนทางที่ถูกต้อง และเมื่อฟังพระธรรมไปเรื่อยๆ ก็จะเข้าใจว่า สิ่งที่ควรฟังควรศึกษาให้เข้าใจว่าเป็นธรรมไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนนั้น ก็คือ สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ รวมถึง เสียง ด้วย เป็นธรรมที่เป็นรูปธรรม มีจริงๆ ปัญญาสามารถรู้ถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงได้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ต้องไปทำอะไรที่ผิดปกติเลย ขณะที่เข้าใจ ก็ไม่เดือดร้อนไม่กระวนกระวายใจ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...