ไม่มีใครรัก
เคยมีปัญหาครอบครัวพ่อแม่เลิกกันทำให้เป็นคนเก็บตัวและไม่เป็นมิตรกับคนอื่นเลย ไม่สดใส ร่าเริง ทำให้คนรอบข้างไม่อยากอยู่ด้วย ไม่มีใครคบเลยค่ะ รู้สึกเบื่อและไม่อยากเข้าสังคมมากๆ เลย เพราะเหมือนอยู่คนเดียว จะไปไหนมาไหนก็ต้องไปคนเดียว ทุกข์มากๆ ค่ะ ที่เป็นแบบนี้เพราะเวรกรรมที่ได้ทำไว้ใช่ไหมค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่มีใครรัก แท้ที่จริง ความรัก ก็คือ โลภะ รักใคร มีคนรัก รักตัวเองที่สุด มีคนรักตลอด คือ โลภะความติดข้องที่เกิดตลอดเวลา ส่วนขณะที่ได้รับผลของกรรม คือ ขณะที่เห็น ไ้ดยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส ส่วนขณะที่ทุกข์ใจ เป็นอกุศลจิต ไม่ใช่ผลของกรรม เพราะฉะนั้น ชีวิตที่เหลืออยู่ ทุกข์เพราะไม่รู้ ควรไหมที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการฟัง ศึกษาพระธรรม เพราะ ปัญญาที่เกิดขึ้นไม่เป็นโทษกับใครเลยทั้งสิ้น ครับ ชีวิตเหลือน้อยแล้ว ควรที่จะสะสมความดีและอบรมปัญญาดีกว่าจะคิดว่าใครไม่รัก ใครรัก ครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สภาพธรรมเกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ชีวิตที่เกิดมาไม่ได้ยั่งยืนเลย ในที่สุดก็จะต้องละจากโลกนี้ไปด้วยกันทั้งนั้น การที่ไม่มีคนรักไม่มีคนให้ความสำคัญ ไม่ใช่เครื่องกั้นของการเจริญขึ้นแห่งกุศลธรรม สามารถที่จะเจริญกุศลสะสมที่พึ่งให้แก่ตนเองได้ เพราะคนอื่นถึงแม้จะรักเรามากแค่ไหนในที่สุดก็ต้องตายจากกันอยู่ดี ไม่สามารถติดตามช่วยเหลือเราถึงชาติหน้าได้ แต่กุศลธรรมที่สะสมไว้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ จะเป็นที่พึ่งทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า เพราะฉะนั้นควรเห็นถึงสาระสำคัญของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่ได้อย่างยากแสนยาก ด้วยการสะสมความดี พร้อมทั้งฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ และเป็นมิตรกับทุกคนว่าบุคคลเหล่านั้นจะเป็นอย่างไรก็ตาม เพราะขณะที่เป็นมิตรกับผู้อื่น จิตใจย่อมเบาสบายด้วยกุศลธรรม ไม่เดือดร้อน ไม่เศร้าโศกเสียใจในขณะที่เป็นกุศล ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
การที่ได้เกิดมาเป็นบุคคลนี้ ได้เห็น ได้ยิน ได้ลิ้มรส ได้กระทบสัมผัสสิ่งที่ดี หรือไม่ดี ก็เพราะกรรมที่ได้เคยทำมาแต่อดีตซึ่งไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเป็นกรรมใดในสังสารวัฏฏ์อันยาวนานนี้ และไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่เกิดขึ้นแล้ว...
การคิดดี หรือไม่ดีนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการสะสมมา ถ้าสะสมการคิดลบมาก ความโกรธมามาก ความโศกเศร้ามามาก ก็ย่อมทำให้มีแนวโน้มที่จะคิด รู้สึกไม่ดีแบบนั้นอยู่บ่อยๆ แต่หากสะสมการคิดดี คิดบวกมามาก ก็มีแนวโน้มที่จะคิดในทางบวกบ่อยๆ สังเกตได้กับคนที่เจอเหตุการณ์แบบเดียวกัน แต่คิดต่างกัน บางคนรู้สึกน้อยใจในโชคชะตา คิดว่าไม่เป็นที่รัก แต่บางคนกลับเป็นแรงผลักดันให้พยายามมีชีวิตที่ดีกว่า และภาคภูมิใจในตัวเอง
จะดีกว่าไหม ถ้าเข้าใจและให้อภัยพ่อแม่ เพราะทุกคนอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น ไม่อยากมีความทุกข์ หรือสร้างทุกข์ให้กับใคร ถ้าเลือกได้ท่านก็คงไม่อยากทำแบบนั้น... แต่มันได้เกิดขึ้นแล้ว และจบไปแล้ว ทุกคนล้วนมีกรรมเป็นของของตน ทำได้เพียงเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น และทำปัจจุบันให้ดีที่สุด อย่างน้อยท่านก็ให้กำเนิดเรามาได้ ดูแลเรามาอย่างดีมีชีวิตในทุกวันนี้ มีโอกาสได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย มีโอกาสได้มีชิวิตที่มีประโยชน์ต่อประเทศชาติ ต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อสังคม คนหลายคนมองไม่เห็นโอกาสของการมีชีวิต... รอยยิ้มของเราอาจทำให้คนที่เห็นยิ้มได้ (ยิ้มหน่อยนะ ^_^) คำพูดที่ดีอาจทำให้คนบางคนมีกำลังใจ การช่วยเหลือเหลือเล็กๆ น้อยๆ อาจทำให้งานสำเร็จเร็วขึ้น
แท้จริงแล้วแต่ละคนก็อยู่ในโลกของตัวเอง เราไม่มีทางรู้ได้จริงๆ ว่า เขาคิดอย่างไรกับเรา นอกจากเราเองต่างหากที่กำลังคิดอย่างไรกับเขา หากแต่ปรับที่ทัศนคติ วิธีคิด และความเชื่อของเรา ว่าเหตุและผลต้องตรงกัน กล่าวคือ เหตุที่ดีย่อมนำผลที่ดี เหตุที่ไม่ดี จะนำผลที่ดีมาไม่ได้เลย
และสูงสุดคือ การศึกษาพระธรรมคำสอนที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ที่เป็นความจริงแท้ ละเอียดลึกซื้ง ทำให้เกิดความเข้าใจถูกตามความจริงของทุกสิ่ง ไม่แปรเปลี่ยนตามกาลเวลา เพราะไม่ว่าจะเมื่อไหร่ จะเกิดเป็นอะไร ก็ไม่พ้นจากสภาพเห็นสิ่งที่ดี/ไม่ดี ได้ยินสิ่งที่ดี/ไม่ดี ได้กลิ่นสิ่งที่ดี/ไม่ดี ลิ้มรสสิ่งที่ดี/ไม่ดี กระทบสัมผัสสิ่งที่ดี/ไม่ดี หรือคิดดี/ไม่ดี...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ