สารธรรมจากบ้านคุณทักษพล และคุณจริยา
สนทนาธรรมที่บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร 15 สิงหาคม 2558
@ จะสู้กับกิเลส สู้ไหวไหม เมื่อกี้อาหารอร่อยไหม ไม่มีปัญญาแล้วอะไรจะสู้ การเข้าใจว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา สำคัญที่สุด ที่จะสู้ได้
@ ที่บอกว่าให้คิดบวก เราชินกับความไม่รู้ การคิดก็เป็นอนัตตา ก็คิดตามการสะสม จะบังคับให้คิดอย่างนั้นอย่างนี้ได้อย่างไร เป็นอนัตตา เพราะเป็นธรรมทั้งนั้น เป็นไปตามเหตุปัจจัย ทำอะไรได้ไหม คะ มั่นคงหรือยังว่าทำอะไรไม่ได้ จนกว่าจะเป็นสัจจญาณ มั่นคงว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ค่ะ
@ ทุกอย่างถ้าไม่เข้าใจก็วนกลับมาที่เรา ถ้าเข้าใจธรรม ก็ไม่เดือดร้อน แต่ถ้าเป็นเราก็เดือดร้อน ถ้าไม่เข้าใจและเป็นเราที่ไม่เข้าใจ
@ ก็เป็นปกติธรรมดา ที่เกิดแล้ว กุศล อกุศล
@ จะเดือดร้อนอะไร ฟังไปจนกว่าจะเข้าใจว่าเป็นธรรม ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องกังวลเลยว่าเราจะเป็นอย่างไรบ้าง ทุกอย่างเป็นปกติ กุศล อกุศล ค่ะ
@ ปัญญาสามารถเข้าใจในสิ่งที่เป็นธรรมดา แม้สิ่งนั้นจะลึกซึ้ง ปัญญาก็รู้ได้ แต่ ต้องรู้ว่าขณะไหนเป็นปัญญา ขณะไหนไม่ใช่ปัญญา
@ เป็นเรื่องความอดทน เป็นเรื่องของความตรง และเป็นเรื่องของปัญญา ถ้าเป็นเรื่องตัวตน ก็จะไปพยายาม ไปทำ ไปละกิเลส ด้วยวิธีอื่น
@ ความจริงที่แท้จริง คือ อะไร ก็คือ สภาพธรรมที่เป็นปกติในขณะนี้
@ ฟังธรรมไม่ได้อะไร ต้องไปปฏิบัติ มั่นคงหรือเปล่า
@ ตายแล้วไปไหน เดี๋ยวนี้จิตดับไปแล้ว จิตที่ดับไปแล้วไปไหน ไม่มีไปไหนเลย เพียงแต่ เมื่อยังมีเหตุปัจจัย จิตอื่นก็เกิดต่อได้ ค่ะ
@ สิ่งที่อัศจรรย์ มหัศจรรย์ คือ จากที่ไม่เคยเข้าใจความจริงมาก่อนเลย จนเข้าใจความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ ขณะนั้นก็อัศจรรย์ มหัศจรรย์
@ เมตตา คือ ความเป็นเพื่อน เพื่อนไม่ใช่ศัตรู เพื่อนต้องหวังดี ไม่แข่งดี ไม่ริษยา ทุกอย่างที่ไม่ดี จะไม่มีขณะที่เป็นเพื่อน ดังนั้น เราสวด ท่องเมตตา แผ่ โดยที่ไม่มีที่จะแผ่ แผ่แล้วก็โกรธ จะแผ่ยังไง
@ เมตตา ก็เป็นเพื่อนเขา ทักทาย ยิ้ม ไม่โกรธ ไม่ใช่ว่าคนนั้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี ก็ไม่พ้นตัว ขณะคิดว่าคนอื่นไม่ดี จิตใครไม่ดีในขณะนั้น
@ ไม่ต้องไปคิดค้นว่านี่เป็นกรรมอะไร อย่างไร เพราะเกินวิสัย สำคัญที่สุด คือ เข้าใจถูกว่าเป็นธรรมใช่เรา
@ รู้ความจริงจนไม่หวั่นไหว พอได้สิ่งที่ดี หวั่นไหวไหม หวั่นไหวแล้ว แต่ถ้าเข้าใจว่า ได้แล้วหมดไป ไม่เหลือเลย ย่อมไม่หวั่นไหว ชั่วขณะ
@ ย้ายบ้าน เคยย้ายบ้านไหมคะ ทุกคนก็ต้องเคยย้ายบ้าน และจะย้ายไปที่ไหน คะ
@ เห็นแล้วอกุศลจะทำยังไงคะ ไม่ต้องทำยังไง ให้เข้าใจถูกว่าเป็นธรรม
@ เรียกชื่อ โลภะ โทสะ เรียกชื่อเก่ง แต่ไม่รู้ตัวธรรม
@ มีรถมาชนรถของท่าน รถของท่านก็เสียหายพอสมควร แต่ ท่านไม่ได้คิดถึงรถของท่านเลย ท่านคิดถึงคนอื่นว่ารถจักรยานยนต์ของคนอื่นเป็นอะไรมากไหม คนที่ขับรถจักรยานยนต์เจ็บมากไหม เห็นไหมคะ ประโยชน์ที่ไดในขณะนั้น สำคัญมาก คิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง
@ ทุกคนได้ยินปัจฉิมวาจา คือ จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม อะไรคะ ให้ถึงพร้อมในการฟังในขณะนี้ เผินหรือเปล่า ละเอียดหรือเปล่า เข้าใจผิดนิดเดียวไปแล้ว ไปในทางที่ผิด
@ วุ่นวายในสิ่งที่ดับไปแล้ว เพราะไม่รู้ ทั้งๆ ที่สภาพธรรมในขณะนี้ดับไปหมดแล้ว แต่ก็วุ่นวายในสิ่งที่ดับไป ให้เห็นถึงอวิชชา
@ พระธรรมแต่ละคำ นำไปสู่การละความไม่รู้ จนกว่าจะดับกิเลสหมดสิ้น แต่ถ้าไม่รู้ ก็ไปสำนักปฏิบัติ แล้วจะละกิเลสได้อย่างไร เพราะไม่รู้
@ ณ กาลครั้งหนึ่ง ได้เข้าใจ ได้ละความติดข้องต้องการ และ ละความไม่รู้ ในขณะที่เข้าใจ
@ คนโกรธกับคนไม่โกรธพูดต่างกันไหม คะ ก็เป็นพียงจิต เจตสิก ที่ทำกิจหน้าที่ เป็นกุศลศีล อกุศลศีล
@ คำว่าสมาทาน ไม่จำเป็นจะต้องบอกใครเลย แต่ถือเอาด้วยดี ในขณะนั้น ซึ่งในขณะที่เข้าใจในสิ่งนั้นและถือปฏิบัติในทางที่ดี ตามความเข้าใจ ก็สมาทาน แม้ไม่ได้บอกใครเลย
@ จะเอาธรรมไปช่วย ช่วยอย่างไร ถ้ายังไม่มีความเข้าใจว่าธรรม
@ ทางเดียวที่จะช่วยได้ คือ มีความเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง ในชีวิตประจำวัน ว่าคืออะไร
@ เห็นเกิดแล้วดับไปหมดเลย นี่เป็นพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า ที่แสดงถึงสัจจะความจริง ไม่เปลี่ยนแปลง
@ วันนี้ก่อนฟังธรรม มีธรรมหรือเปล่า ฟังแล้วในขณะนี้ มีธรรมหรือเปล่า แล้วรู้หรือไม่ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา
@ ถ้าไม่มีเรา แล้วมีอะไร คะ ก็มีแต่ธรรม
@ มีตนเองเป็นที่พึ่ง พึ่งได้อย่างไร ถ้าไม่รู้จักตัว
@ มีตนเองเป็นที่พึ่ง คือ มีความเข้าใจถูกของตนเองที่เกิดความเข้าใจถูกเป็นที่พึ่ง
@ ถ้ารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อไหร่ เมื่อนั้นจะรู้จักคำว่ามีตนเองเป็นที่พึ่ง
@ กำลังพึ่งอยู่แล้วเปล่าในขณะนี้ พึ่งธรรม ฟังพระธรรมเข้าใจ พึ่งด้วยปัญญา ความเข้าใจ
@ ทุกอย่างเป็นธรรมดา คือ เกิดเป็นไปธรรมดา ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
@ ไม่ใช่คิดว่าเข้าใจ แต่ต้องเข้าใจจริงๆ ว่า คืออะไร เป็นธรรมหรือปล่า
@ ด้วยความเป็นตัวตน พอไม่เข้าใจก็เดือดร้อน เพราะเป็นเราที่ไม่เข้าใจ จนกว่าจะเข้าใจว่า ไม่ใช่เราที่เข้าใจ เป็นแต่เพียงธรรม แม้เข้าใจก็เป็นธรรมไม่ใช่เรา
@ หารูปแบบเมื่อไหร่ เป็นเรา ด้วยความเป็นตัวตน ที่จะรู้ ที่จะพยายามเข้าใจ ขณะนี้กำลังฟังให้เข้าใจ เข้าใจในสิ่งที่มี
@ ที่เรียกว่า โรคต่างๆ เบาหวาน อื่นๆ ก็แค่ เพียงสภาพธรรมนั้น เช่น กระทบกายแล้วก็ดับไป แล้วก็คิดนึกต่อไปว่าเป็นโรคต่างๆ แท้ที่จริงเป็นแต่เพียงธรรมเท่านั้น
@ อกุศลทั้งหมดเปรียบเหมือนยาพิษ เพราะฉะนั้นก็เหมือนถูกลูกศรอาบยาพิษเกือบตลอดเวลา มีแต่ปัญญาเท่านั้นที่จะละคลาย อกุศลจนหมดสิ้นได้