สภาพธัมมะที่เห็นว่าโลกว่างเปล่าคืออย่างไร

 
phairoj.2506
วันที่  15 ส.ค. 2558
หมายเลข  26928
อ่าน  991

กราบเรียน ท่านอาจารย์ผู้เจริญครับ

กระผมเป็นสมาชิกใหม่เมื่อ 14 ส.ค. 58 ขอกราบเรียนถามดังนี้ครับ

สภาพธัมมะที่เห็นว่าโลกว่างเปล่าตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพระพาหิยะจนได้ตรัสรู้ในทันที เป็นอย่างไรครับ และผู้ที่ฟังแล้วรู้แจ้งทันทีมีคุณสมบัติอย่างไร มีเหตุปัจจัยใดที่ทำให้ได้คุณธัมมนั้น ครับ

ด้วยความเคารพบูชา และกราบขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งในความเมตตากรุณา ครับ

ไพโรจน์ อักษรเสือ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
phairoj.2506
วันที่ 15 ส.ค. 2558

กระผมเห็นว่าเป็นสภาพธัมมะที่ในขณะจิตที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติมีวาสนาบารมี มีความเพียรเผากิเลส ที่ถึงพร้อมสมควรแก่ธัมม์จึงจะเห็นได้ตามความเป็นจริงของรูปนามทั้งหลาย ด้วยปัญญาแล้วละความยึดมั่นถือมั่นในรูปนามได้ เพราะมีเหตุปัจจัยคือปัญญาที่เกิดจากการศึกษาและปฏิบัติติดต่อยาวนานมีโพธิปักขิยธรรม ๓๗ คือ มรรคมีองค์ ๘ สติปัฏฐาน๔ อิทธิบาท ๔ สัมมัปปทาน ๔ พละ ๕ อินทรีย์ ๕ โพชฌงค์ ๗ อันเกิดจากการได้พบกัลยาณมิตร ได้ฟังธัมมะจากท่าน แล้วศึกษาและปฏิบัติด้วยการปฏิบัติโยคะกรรม ตลอดไป ซึ่งน้อยคนนักที่ปฏิบัติได้ สาธุครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 16 ส.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ปรมัตถธรรมสังเขป จิตตสังเขป และ ภาคผนวกโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ จัดพิมพ์เผยแพร่ โดย คณะกรรมการ ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎรเนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนม์พรรษา ครบ ๗๕ พรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๕จิตตสังเขป

ใน อัฏฐสาลินี อรรถกถาธัมมสังคนีปกรณ์ จิตตุปปาทกัณฑ์อธิบาย จูฬันตรทุกะ มีข้อความว่า
ชื่อว่า "โลกียธรรม" เพราะประกอบในโลก โดยเหตุที่นับเนื่องอยู่ในโลก นั้น.
ชื่อว่า "อุตตรธรรม" คือ ธรรมอันยิ่ง เพราะข้ามพ้นขึ้นจากโลกนั้น.
ชื่อว่า "โลกุตตรธรรม"เพราะข้ามพ้นขึ้นจากโลกนั้น โดยเหตุที่ไม่นับเนื่องอยู่ในโลก.
จิต เจตสิก รูป เป็น สังขารธรรม และ เป็น สภาพธรรมที่เกิด-ดับ.
แม้ โลกุตตรจิต และ เจตสิก ที่มี นิพพาน เป็นอารมณ์ ก็ เกิด-ดับแต่ ที่จำแนกจิต โดยเป็น โลกิยจิต และ โลกุตตรจิต นั้นก็เพราะ โลกุตตรจิต มีนิพพานเป็นอารมณ์โดย ดับกิเลส (มัคคจิต) และ โดย ดับกิเลสแล้ว (ผลจิต)

ข้อความในขุททกนิกาย จูฬนิทเทส ภาค ๒โมฆราชมาณวกปัญหานิทเทส ตรงกับ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค สุญญสูตร ข้อ ๑๐๒ซึ่ง มีข้อความว่า

ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคฯ ว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า โลกว่างเปล่าๆ ดังนี้ด้วยเหตุเพียงไรหนอ จึงเรียกว่า โลกว่างเปล่า."
พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสว่า
"ดูกร อานนท์ เพราะว่างเปล่าจากตน หรือ จากของตนฉะนั้น จึงเรียกว่า โลกว่างเปล่า. อะไรเล่า ว่างเปล่าจากตน หรือ จากของของตน.? จักขุ แล ว่างเปล่าจากตน หรือ จากของของตน รูป ว่างเปล่าจากตน หรือ จากของของตน จักขุวิญญาณ ว่างเปล่าจากตน หรือ จากของของตน จักขุสัมผัส ว่างเปล่าจากตน หรือ จากของของตน สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือ อทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้น เพราะ จักขุสัมผัส เป็นปัจจัยก็ว่างเปล่าจากตน หรือ จากของของตน. ฯลฯ ใจ ว่างเปล่าจากตน หรือ จากของของตน ธัมมารมณ์ ว่างเปล่าจากตน หรือ จากของของตน มโนวิญญาณ ว่างเปล่าจากตน หรือ จากของของตน มโนสัมผัส ว่างเปล่าจากตน หรือ จากของของตน สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือ อทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะ มโนสัมผัส เป็นปัจจัยก็ว่างเปล่าจากตน และ จากของของตน.ฉะนั้น จึงเรียกว่า โลกว่างเปล่า."

จบสุญญสูตร ที่ ๒.

ไม่ใช่ว่า ไม่รู้อะไรเลย ก็จะทำให้ว่างได้โดยไม่รู้ว่า อะไรว่าง
.......ว่างอย่างไร.!
แต่ ควรรู้ตามความเป็นจริง ว่าที่ว่างจากตน หรือ ว่างจากของของตนเพราะเป็น "สภาพธรรม" ที่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป แต่ละอย่างๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ.

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
phairoj.2506
วันที่ 16 ส.ค. 2558

กราบขอบพระคุณท่านกัลยาณมิตรผู้เจริญ ธัมมะของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธัมม์ที่ประเสริฐจริงๆ กระผมจะศึกษาและปฏิบัติให้เจริญยิ่งๆ และจะสอบสวนปฏิบัติให้ถูกต้องในอายตนะ และเหตุปัจจัยการต่อไป

ขอให้ท่านกัลยาณมิตรมีความสุขเจริญยิ่งๆ ตลอดไป

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 16 ส.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา เป็นคำสอนที่เป็นไปเพื่อปัญญาโดยตลอด เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ซึ่งมีแล้ว แต่ไม่รู้ เป็นสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน และสภาพธรรมแต่ละอย่างนั้น ก็ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตนสัตว์บุคคล ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนแทรกอยู่ในสภาพธรรมเหล่านั้นเลย ตามความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครสามารถทำอะไรให้เกิดขึ้นได้เลย ทุกขณะเป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้น เวลาที่กล่าวถึงโลก ก็คือ สิ่งที่มีจริงๆ ที่มีอันต้องแตกดับไปเป็นธรรมดา สิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง ก็คือ แต่ละหนึ่งไม่ได้ปะปนกันเลย มีจริง แต่หลากหลายต่างกัน เช่น ความโกรธ เป็นอย่างหนึ่ง ความติดข้องยินดีพอใจ เป็นอย่างหนึ่ง ศรัทธาเป็นอย่างหนึ่ง ความละอาย เป็นอย่างหนึ่ง ความเข้าใจถูกเห็นถูกเป็นอย่างหนึ่ง ความจำ เป็นอย่างหนึ่ง รูปแต่ละรูป เป็นแต่ละหนึ่ง เป็นต้น ซึ่งผู้ที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงได้ ต้องมีปัญญา แล้วปัญญาจะมาจากไหน ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
j.jim
วันที่ 16 ส.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jirat wen
วันที่ 16 ส.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
tanrat
วันที่ 17 ส.ค. 2558

ขอบคุณ และขออนุโมทนา ผู้ฟังใหม่มักคิดว่ามีเราที่จะทำกุศล

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 19 ส.ค. 2558

สาธุ อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
napachant
วันที่ 20 ส.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
wannee.s
วันที่ 20 ส.ค. 2558

ทุกอย่างเกิดแล้วดับไป ไม่เหลือ ไม่เที่ยง ไม่มีอะไรเป็นของๆ ตน แต่ปุถุชน ยึดถือสิ่งที่ดับแล้วหมดไปแล้วว่าเป็นตัวตนเป็นของๆ ตน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Jarunee.A
วันที่ 8 ก.ย. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ