ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ เดอะรอยัล ปริ๊นเซส คอนโดมิเนียม หัวหิน ๒๒-๒๔ กันยายน ๒๕๕๘

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  29 ก.ย. 2558
หมายเลข  27038
อ่าน  2,178

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันที่ ๒๒ - ๒๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา คุณกุสุมา โกมลกิติ (พี่จู) พร้อมด้วยพี่ๆ น้องๆ ที่ประกอบด้วย พี่เมตตา ชัยศรีโสภณกิจ คุณหนิง น้องสาวคนเล็กของพี่จู และ ครอบครัวชัยศรีโสภณกิจ ได้กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ไปพักผ่อน ที่ เดอะรอยัล ปริ๊นเซส คอนโดมิเนียม อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นการกราบเรียนเชิญท่านอาจารย์ไปพักผ่อนที่นี่เป็นประจำทุกปี ด้วยจุดประสงค์ของท่านเจ้าบ้าน คือ เพื่อที่ท่านอาจารย์จะมีเวลาพักผ่อนจากการตรากตรำเดินทางไปสนทนาธรรมตามที่ต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ และเป็นที่ทราบกันดีในหมู่ผู้ใกล้ชิดว่า ขณะนี้ ท่านอาจารย์มีโปรแกรมที่มีผู้กราบเรียนเชิญท่านไปสนทนาธรรมทั้งในเวียดนาม อเมริกา ศรีลังกา และ ในประเทศไทย เต็มยาวเหยียดเลยไปจนถึงปี ๒๕๕๙ แล้ว

ท่านอาจารย์เคยกล่าวกับข้าพเจ้าเมื่อครั้งที่คุณเบญจวรรณ รัศมีสุวรรณกุลและเพื่อน ได้กราบเรียนเชิญท่านไปสนทนาธรรมที่แพริมน้ำตลาดบางหลวง ร.ศ. ๑๒๒ เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ที่ผ่านมาว่า เวลาที่สบายๆ สำหรับท่าน คือ การที่ได้ตื่นนอนแบบสบายๆ ในตอนเช้า โดยที่ไม่ต้องรีบเร่งไปไหนตามเวลาที่กำหนด ซึ่งข้าพเจ้าเข้าใจว่า เวลาแบบนั้นสำหรับท่านแทบไม่มีเลย เนื่องจากทุกวันนี้ ท่านต้องตื่นเช้าเพื่อเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อรอผู้มารับไปตามคำเชิญ ตามกำหนดการที่มีในแต่ละวัน โดยท่านแทบไม่ค่อยได้อยู่บ้านแบบสบายๆ ในหมู่ญาติพี่น้องลูกหลานของท่านเลย เวลาของท่านทั้งหมด เป็นไปกับเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นโดยแท้ ดังกระทู้ที่พี่แดง (พลอากาศตรีหญิงกาญจนา เชื้อทอง) ได้บันทึกไว้ในกระทู้ อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ผู้เสียสละและทุ่มเทเวลาให้กับศาสนาจนหมดใจ ที่เพียงได้อ่านแค่ชื่อกระทู้ ก็รู้สึกปีติและเห็นได้ชัดเจน ในความเมตตากรุณาของท่านอาจารย์ที่มีต่อทุกๆ ท่าน ที่เห็นประโยชน์ของการศึกษาพระธรรม ตลอดระยะเวลาร่วมหกสิบปีที่ผ่านมา

การเดินทางมาพักผ่อนของท่านอาจารย์ที่คอนโดแสนสวยริมชายหาดหัวหินแห่งนี้ เป็นกุศลเจตนาของพี่จูและครอบครัวชัยศรีโสภณกิจ ที่น่าอนุโมทนาอย่างยิ่ง ที่ได้ทำให้พวกเราทุกๆ คน ได้ชื่นใจที่เห็นภาพของท่านอาจารย์และคุณป้าจี๊ด (คุณสุจิตต์ อึ้งภากรณ์-น้องสาวของท่านอาจารย์ที่ติดตามดูแลท่านอาจารย์ไปในทุกๆ ที่) ได้ตื่นเช้าแบบสบายๆ และได้พักผ่อนจริงๆ แม้จะมีการสนทนาธรรมซึ่งเป็นปกติของท่าน ที่ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหนๆ ก็เป็นไปกับความเมตตาปรารถนาดีต่อทุกคน ในความเกื้อกูลของท่าน เป็นการสนทนาแบบสบายๆ ตามอัธยาศัย ไม่มีพิธีรีตรองอะไร ทำให้ทุกๆ ท่านที่มีโอกาสได้อยู่ร่วมในที่นั้น ปีติซาบซึ้งในความเกื้อกูลของท่านอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง การสนทนาโต้ตอบโดยใกล้ชิด ทำให้ความการสนทนามีความละเอียดและตรงไปตรงมา ชัดเจน จนทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าอยากจะถอดความมาฝากทุกๆ ท่านเสียทั้งหมด แต่ทำได้เพียงพอสังเขปเท่านั้น เพราะจะทำให้กระทู้ยาวมากจนเกินไป อีกทั้งข้าพเจ้าเองก็ต้องแบ่งเวลาให้กับภารกิจอื่นๆ ในชีวิตประจำวันด้วย ชาติอื่นๆ อาจมีเวลามากกว่านี้ หากสะสมอัธยาศัยจนมีกำลังถึงการสละอาคารบ้านเรือนดังเช่นบรรพชิตผู้มีอัธยาศัยและเห็นถึงประโยชน์ของการอบรมเจริญปัญญาในเพศที่ไม่ต้องมีภาระอย่างชาวบ้าน แต่ตอนนี้ เมื่อพอเริ่มมีความเข้าใจธรรมบ้างตามสมควร ก็รู้อัธยาศัยของตนเองว่า ยังชอบที่จะอยู่บ้านครองเรือนแบบนี้ดีที่สุดแล้ว เพราะจากการที่เคยคิดว่าอยากจะหนีความวุ่นวายในชีวิตไปบวช เพราะเบื่อโน่น เบื่อนี่ (ไม่ได้คิดว่าจะไปรู้แจ้งธรรม) เป็นความคิดก่อนที่จะพบพระธรรมคำสอนที่ถูกต้อง เมื่อพบคำสอนที่แท้จริงจากการถ่ายทอดโดยความเมตตาของท่านอาจารย์แล้ว ก็รู้ถึงอัธยาศัยที่แท้จริงของตน ไม่หลงคิดที่อยากจะไปบวชอีกเลย เพราะเหตุว่า การบวชด้วยความไม่เข้าใจนั้น นอกจากจะทำให้เป็นผู้ที่ทำร้ายตนเองด้วยโทษแห่งการที่จะประพฤติผิดพระธรรมวินัยได้โดยง่ายแล้ว ยังจะทำให้พระศาสนามัวหมองด้วยความเห็นผิดและประพฤติผิดประการต่างๆ อีกด้วย หารู้ไม่ว่าการประพฤติพระธรรมวินัยนั้นเป็นโทษภัยที่ร้ายแรงที่สุดแก่ตนเอง อย่างน่าสงสารที่สุด มีแต่จะเป็นเหตุให้ไปสู่อบาย ทุคติ วินิบาต นรก โดยสถานเดียว

สำหรับการนำเสนอความการสนทนาธรรมในวาระที่ได้มีโอกาสติดตามท่านอาจารย์ไปพักผ่อนที่หัวหินในครั้งนี้ จะขออนุญาตนำเสนอความการสนทนาออกเป็น ๒ ตอนด้วยกัน โดยในตอนแรกนี้ เป็นภาพและความการสนทนาที่ เดอะรอยัล ปริ๊นเซส คอนโดมิเนียม ที่หัวหินของพี่จูและพี่บี๋ (ดร.ปรีดา โกมลกิติ สามีของพี่จู) ซึ่งเป็นไปด้วยความละเอียด ลึกซึ้ง อีกทั้งเป็นกาลที่หมดไปแล้ว สิ้นไปแล้ว ดับไปไม่เหลือแล้ว ไม่สามารถหาฟังได้จากที่ไหนได้อีกเลยแน่นอน ในตลอดสากลจักรวาล นอกจากที่จะได้นำเสนอทุกๆ ท่านดังต่อไปนี้เพียงเท่านั้น และ อีกตอนหนึ่ง เป็นภาพและความการสนทนาธรรมจากการแวะรับประทานอาหารกลางวัน ที่บ้านพักตากอากาศของคุณนภา จันทรางศุ ในวันเดินทางกลับ ก่อนที่ทุกท่านจะพิจารณาความการสนทนา ข้าพเจ้าก็ขอนำเสนอประโยคหนึ่งที่ประทับใจ ควรที่ทุกคนจะได้ฝังไว้อย่างแนบแน่นในหทัยว่า "พระธรรม ไม่ได้อยู่ในหนังสือ แต่กำลังมี กำลังปรากฏ ในขณะนี้!!!"

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ฟังธรรมะ เพื่อเข้าใจ รู้ว่า ไม่ใช่เรา, "เข้าใจ" คือ "รู้ว่า ไม่ใช่เรา" เท่านั้น!!! ฟังไปเรื่อยๆ เข้าใจไปเรื่อยๆ แล้วก็จะรู้ว่า ไม่ใช่เรา!!! ทีละเล็ก ทีละน้อย แล้วก็เห็นความต่างกัน ของปัญญาขั้นฟัง กับ ปัญญา ที่เป็นสติสัมปชัญญะ เมื่อสติสัมปชัญญะเกิดเมื่อไหร่ ถ้ายังไม่เกิด ก็ไม่รู้ หายสงสัยไปได้เยอะไหม? หรือยังสงสัยอยู่?

คุณพรทิพย์ หายสงสัยไปเยอะเลยค่ะ หลายเรื่องเลย

ท่านอาจารย์ ไม่ต้องไปคิดถึงอะไรเลย!!! นอกจาก สิ่งที่กำลังปรากฏ!!....จนกว่าจะเข้าใจ...สิ่งที่ปรากฏ!!! ถ้าเราไปคิดถึงเรื่องอื่น ไม่มีวันที่จะเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ เพราะปรากฏแล้ว เกิดแล้ว ไม่มีใครไปทำอะไรเลย ตามเหตุตามปัจจัย แสดงความเป็นอนัตตาตรงนี้แหละ!!! ตรงที่เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย ต้องไปนึกถึงชื่อ "ฉันทะ" ไหม?

คุณพรทิพย์ ไม่ต้องค่ะ

ท่านอาจารย์ แต่เข้าใจ ว่าฉันทะ ไม่ใช่โลภะ เห็นไหม? ไม่อย่างนั้นก็ยังคงเป็นเรา เพราะมันรวมกัน เพราะฉะนั้น เวลาฟังธรรมะ รู้ว่า "ฟังเพื่อเข้าใจ" ไม่ใช่ฟัง เพราะอยากจะไปรู้ฉันทะ หรือว่า อยากจะไปรู้โลภะ แต่รู้ว่า ฉันทะ ไม่ใช่โลภะ แสดงให้เห็นพระปัญญาคุณว่า เจตสิกใกล้เคียงกันมาก แต่ก็ไม่ใช่อันเดียวกัน แล้วเราจะไปรู้หรือ? ก็แล้วแต่ ไม่มีความเป็นตัวตน ว่าจะรู้อะไร เราถึงจะเห็นการสะสมของเรา ไม่ว่าอะไรปรากฏ รู้เลย อุปนิสสย เคยสะสมมา ที่จะเข้าใจอะไร ที่อะไรจะปรากฏ ไม่ใช่เราไปเลือก ด้วยความเป็นตัวตน

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดแล้ว ส่องถึงความเป็นอนัตตา แล้วก็ส่องถึงการสะสมมา เป็นปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น

ขณะนี้มี "เห็น" มี "แข็ง" ก็แล้วแต่จะรู้อะไร เพราะว่าสติสัมปชัญญะเกิดรู้ ไม่ใช่เราไปเลือก ถึงจะไม่มีตัวตน ไม่อย่างนั้นก็ยังมีความเป็นเรา

คุณพรทิพย์ ขณะที่ศึกษาธรรมะ ถ้าสิ่งนั้นยังไม่ปรากฏ เราก็ศึกษาเรื่องราวไป

ท่านอาจารย์ ให้รู้ว่า "มี" และ "ไม่ใช่เรา" เพื่ออะไร? มี คือ ไม่ใช่เรา!!! แต่มี เมื่อมีปัจจัย เท่านั้นเอง ค่อยๆ สะสม ความเป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา แล้วก็เป็นปกติ ต้องเป็นปกติด้วย!! ธรรมดา

คุณนภา แอ๊วเคย แต่ไม่ได้ว่าอยากรู้ลักษณะของเขานะคะ แต่แอ๊วเคยฟัง ท่านอาจารย์เคยกล่าวถึงว่า แม้ลักษณะ สภาพที่เป็นฉันทะ เขายังบอกไม่ได้เลยว่าเป็นอย่างไร ท่านอาจารย์เคยพูดไว้ในเทป

ท่านอาจารย์ เวลานี้ ถ้าเกิดติดข้อง มีทั้งฉันทะและโลภะ แยกได้ไหม?

คุณนภา แยกไม่ได้ค่ะ

ท่านอาจารย์ แต่มีทั้งสองอย่าง เพื่อให้รู้ว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ฉันทะเป็นฉันทะ โลภะเป็นโลภะ แต่ไม่ใช่หมายความว่า พอพูดอย่างนี้ เราจะไปรู้ฉันทะ ไม่ใช่!! เข้าใจตามที่ได้ฟัง แต่ไม่ใช่ให้เราไปเลือกรู้นั่น รู้นี่ หรือไม่ใช่ให้อยากรู้นั่น รู้นี่ เพราะกำลังมีก็ไม่รู้ กำลังปรากฏ ก็ไม่รู้ จะรู้เมื่อไหร่ ก็แล้วแต่ปัจจัย มีปัจจัยเมื่อไหร่ก็รู้

คุณนภา แต่ว่า หมายถึงว่า ขณะนั้น สภาพธรรมะปรากฏ แล้วรู้ รู้ว่านั่นคือลักษณะของฉันทะ

ท่านอาจารย์ ถ้าฉันทะไม่ปรากฏ จะรู้ไม่ได้เลย

คุณนภา ถ้าฉันทะกำลังปรากฏ แล้วผู้นั้นรู้ ว่า...

ท่านอาจารย์ ไม่ต้องเรียกชื่อ!!!

คุณนภา ไม่ต้องเรียกชื่อ เขาก็จะรู้ว่า อันนี้ ไม่ใช่โลภะ

ท่านอาจารย์ ปัญญารู้เอง ทุกอย่าง!!! ปัญญาเห็นถูกทุกอย่าง!!!

คุณนภา เพียงแต่ว่า เวลาท่านอาจารย์บรรยาย เขาบอกว่ายากมากที่จะบรรยายลักษณะสภาพของฉันทะ ซึ่งไม่มีทางที่จะรู้ได้

ท่านอาจารย์ แล้วแต่ปัญญา การศึกษาธรรมะ ไม่ใช่ให้หวัง ด้วยความเป็นเรา!!! ไม่ใช่เรียนไป ยิ่งเกิดโลภะ อยากจะรู้ ไม่ใช่!!! ถ้าขณะนั้นเป็นอย่างนั้น คือ "ผิด"

คุณนภา เข้าใจค่ะ ว่าต้องเป็นแบบนั้น ก็เลยเข้าใจว่า สภาพธรรมะอื่นๆ .....

ท่านอาจารย์ แล้วแต่!! ทั้งหมดที่มี แล้วแต่อะไรจะปรากฏกับสติ เลือกให้สติไปรู้นั่น รู้นี่ ไม่ได้!!!

คุณนภา เมื่อสภาพธรรมะนั้นเกิด ก็คือ อย่างนั้นเลย ไม่ต้องบอกชื่อ

ท่านอาจารย์ ไหนใครลองพรรณนา ขนมจีนน้ำยาสิ พรรณนาให้ฟังหน่อย พรรณนาอย่างไร ก็ไม่เหมือนขณะที่ กำลังลิ้มรส!!! แล้วจะไปบอกว่าอย่างไร? ฉันทะกับโลภะ

ถ้าตราบใดที่ยังไม่ใช่ปัญญา แม้สภาพนั้นปรากฏ ก็สงสัย เพราะฉะนั้น ขณะนั้น ถ้าปัญญาเกิด รู้ว่า สงสัย เป็นธรรมะ เห็นไหม? กว่าจะหมดเลย ไม่เหลือเลย ถึงจะรู้ว่า ผู้ที่เป็นพระอริยบุคคล ด้วยปัญญาจริงๆ ในความเข้าใจความเป็นอนัตตา แล้วต้องรู้สภาพธรรมะ โดยไม่หลงเหลือว่าเป็นเรา เพราะต้องไปถึงอนุสัยกิเลส

คุณนภา ท่านอาจารย์บอกว่าให้พรรณนาขนมจีนอะไรอย่างนี้ ไม่ได้ แม้กระทั่งขณะกิน เรายังไม่รู้เลยว่ามันเป็นรสอะไรหรืออะไร

ท่านอาจารย์ บอกไม่ได้เลย เพราะว่า หน้าที่ของชิวหาวิญญาณเท่านั้น ที่จะรู้ และรู้แล้วก็ไม่ต้องพูด!!! พูดก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร (เพราะว่าผ่านไปแล้ว หมดแล้ว) แล้วก็ไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไรด้วย ก็เพียงว่า มีโอกาสได้ฟังพระธรรม เห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่ง แล้วก็รู้ว่า สามารถที่จะเข้าใจได้ แล้วก็เป็นบุญที่สะสมไว้แต่ปางก่อน ทำให้มีโอกาสได้ฟัง แล้วก็รู้ว่า ฟังแค่นี้ไม่พอ ถ้าบุญนี้ให้ผล ก็สามารถที่จะได้ฟังต่อไปอีก

คุณเบญฯไม่สงสัยเลยวันนี้?

คุณเบญจมาส ยังไม่สงสัยค่ะ ขอฟังไว้ เข้าใจไว้ค่ะ

ท่านอาจารย์ ถูกต้อง!!! ใช่!!! ยิ่งฟัง ยิ่งเข้าใจขึ้น!!! ถ้าขาดการฟัง ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้ เพราะต้องเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จริง ละเอียด ลึกซึ้ง ฟังบ่อยๆ ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

คุณพรทิพย์ กราบท่านอาจารย์ค่ะ วันนี้ก็เป็นความเข้าใจที่จะได้ไม่ศึกษาผิด

ท่านอาจารย์ ค่ะ ไม่ใช่ตัวหนังสือ ทุกคำ กล่าวถึงสิ่งที่กำลังมี ให้เข้าใจในขั้นฟัง ว่าไม่ใช่เรา

คุณพรทิพย์ ไม่เช่นนั้น กำลังจะหลงทางค่ะ

ท่านอาจารย์ แล้วก็จะไปคิดโน่น คิดนี่ ใหญ่โตจากสิ่งที่ได้ยินแต่ละคำ ใช่ไหม? ไม่ว่าจะเป็นหทัยวัตถุ (ที่นำมาถามในตอนต้น) อะไรๆ ฟัง รู้ว่ามี แล้วก็ไม่ใช่เรา ส่วนจะรู้อะไร ก็คือ แล้วแต่สภาพธรรมะที่เป็นอนัตตา แล้วแต่สติสัมปชัญญะ

คุณพรทิพย์ กราบขอบพระคุณค่ะ

ท่านอาจารย์ ปัญญารู้ไหม ว่าสติเกิด หรือว่า หลงลืมสติ?

คุณพรทิพย์ ปัญญารู้ทุกอย่างค่ะ

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ปัญญาไม่หลอก ไม่ใช่เอาโน่น นี่ มาเป็นสติสัมปชัญญะ ไม่ใช่!!! แต่ถ้าเป็นโลภะ หรือเป็นอวิชชา ลวงทันที!!!

"เสียง" มี ใช่ไหม? "ได้ยิน" มี ตอนนี้เข้าใจอะไร? ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิด ก็คือ ไม่รู้อยู่นั่นแหละ!!! "แข็ง" ก็ปรากฏ อะไรก็ปรากฏ แต่ก็ไม่ได้รู้ความเป็นจริงว่า เป็นธรรมะ กว่าจะ นี่เป็นธรรมะ สิ่งที่มีจริง ชั่วขณะที่ปรากฏ ทุกคำต้องเก็บไว้ เพราะเป็นคำจริง จริงชั่วขณะที่ปรากฏ!!!

ถ้าปัญญาสมบูรณ์ เกิด-ดับ ถึงจะตรงกับที่ว่า มี เพราะเกิด แล้วก็ดับ และไม่กลับมาอีก ลองคิดดูว่า ขั้นฟัง เข้าใจแค่นี้ แต่ประจักษ์แจ้งนี่ ความเข้าใจมั่นคงจริงๆ เข้มแข็ง สามารถที่จะละความพอใจได้แค่ไหน แล้วแต่ระดับขั้นของปัญญาอีก

เพราะฉะนั้น จากไม่เคยได้ยินได้ฟังธรรมะเลย ไม่รู้จักปริยัติ เขาบอกว่า นี่ปริยัติ จิตมี ๘๙ เจตสิกมี ๕๒ เข้าใจว่านั่นคือปริยัติ แต่ถ้าถามว่า นั่ง นี่เป็นอะไร? ตอบไม่ได้ นั่นหรือปริยัติ? เพราะต้องเป็นการเข้าใจ ที่ใช้คำว่ารอบรู้ คือ เข้าใจที่มั่นคงเป็นสัจจญาณ

เพราะฉะนั้น เวลาที่เข้าใจอย่างมั่นคง ตราบใดที่สติสัมปชัญญะ ไม่ได้รู้เฉพาะลักษณะหนึ่ง ขณะนั้นก็รู้ว่า ก็เป็นขั้นความเข้าใจ แต่พอเดี๋ยวนี้ แข็งอย่างธรรมดา แต่ฟังมาจนกระทั่งขณะนั้น รู้ความต่างของขณะที่แข็งธรรมดา กับความเข้าใจ มาจากไหน ก็มาจากที่ฟังแล้วทั้งหมดนั่นแหละ แต่ว่า ตอนที่ไม่เกิดก็ไม่เกิด แต่ตอนที่เกิด ก็คือ ความเข้าใจนี่อยู่ตรงนั้น ในลักษณะที่เป็นธรรมะ

นี่คือ จากปริยัติ เป็นปฏิปัตติ และจากปฏิปัตติ กว่าจะถึงปฏิเวธ ก็คือ ค่อยๆ คุ้นเคย กับธรรมะ เวลานี้ คุ้นเคยกับ "ความเป็นเรา" หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างมั่นคงมาก ยังไม่คุ้นเคยกับว่า แข็งเป็นแข็ง สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็เพียงแค่ ปรากฏเมื่อเห็น เห็นไหม? ปรากฏเมื่อเห็น คำนี้ดูธรรมดามาก แต่ธรรมดาอย่างนี้ ปรากฏเมื่อเห็น เมื่อไม่เห็น ไม่มี!!!

เพราะฉะนั้น จะมีเราหรือ? จะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่คิดว่า มูลนิธิฯ ยังมีอยู่หรือ? นั่นคือแค่ "ความจำ" แต่ละคำที่ทรงแสดง แสดงละเอียดมาก ทางตา ก่อนที่จะมีการเห็น จิตเกิดดับ อะไรเกิดก่อน เห็นแล้วดับไป จิตต่อไปแม้ว่าจะมี สิ่งที่ปรากฏ โดยมีวิตกเจตสิก แต่ไม่เห็น แต่มีอารมณ์นั้น คิดดู ความต่างของเห็น ของจักขุวิญญาณที่เห็น กับจิตที่เกิดต่อ ต่างกันแล้ว เจตสิกก็ไม่เท่ากัน ฟัง เพื่อเข้าใจว่า เป็นธรรมะ แต่ไม่ใช่ฟังจะไปรู้ วิตกเจตสิกตอนนั้นตอนนี้ ไม่ใช่!!! แค่ฟังนี่ก็คือ ให้รู้ความละเอียด ซึ่งเป็นธรรมะทั้งหมด

คุณพรทิพย์ กราบท่านอาจารย์ ยังมีอีกประโยคหนึ่ง ที่ได้อ่านจากแนวทางวิปัสสนาว่า ไม่นำเอาเรื่องราวมาเกี่ยวโยง โยงไปโยงมา อะไรอย่างนี้ ก็จะไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมะ

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น แข็งปรากฏ-ดับ ไม่เกี่ยวโยงเป็นเก้าอี้ หรือว่าเป็นโต๊ะ หรือว่าเป็นแขนเรา หรือว่าเป็นอะไร

คุณพรทิพย์ หรือว่า เมื่อวานยังมีอยู่

ท่านอาจารย์ ทั้งหมดเลย แต่ละคำ ถ้าเราเข้าใจ ไม่มีปัญหาเลย ใช่ไหม? คือ สิ่งนั้นเป็นสิ่งนั้น เกิดแล้ว หมดแล้ว เกิดแล้วหมดแล้วนี่ ปัญญาต้องถึงระดับไหน? ที่จะมั่นคง ไม่ใช่อะไรเลย เพราะคำว่าตัวตน หมายความว่า เป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด ใช่ไหม? นี่ยังเป็นไมโครโฟน นั่นยังเป็นเก้าอี้ เป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด แล้วนี่เป็นสักกาย-เป็นเรา "เห็น" เป็นเรา "ได้ยิน" ก็เป็นเรา "คิดนึก" ก็เป็นเรา แต่นี่เป็นเก้าอี้ นี่เป็นโต๊ะ นี่เป็นพื้น เห็นไหม? แต่ทั้งหมดก็คือ เห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ ไม่ใช่เรา หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่ง เป็นเรา ถ้าสิ่งหนึ่ง สิ่งใดที่เป็นเรา ก็ตรงนี้ แต่สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ไม่ใช่ตรงนี้

เพราะฉะนั้น จึงมี "อัตตานุทิฏฐิ" เห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด คือ อัตตา กับ สักกาย เห็นว่า ที่นี่ เป็นเรา รวมกันแล้วนี่ เป็นเรา ความหมายอันเดียวกันเปี๊ยบ แยกเป็น ๒๐ เท่ากัน เพราะฉะนั้น เราฟังแล้วเราก็เข้าใจว่า ตราบใดที่ไม่ใช่เป็นเพียง "แข็ง" ตราบใดที่ไม่ปรากฏการเกิดแล้วดับ ที่จะให้เราละการยึดถือซึ่งเราเคยยึดถือว่ามันเป็นอย่างนั้นนี่ ละได้อย่างไร? นอนอยู่นี่ แขนเรา ขาเรา ทั้งนั้น ไม่เห็นด้วยซ้ำไป ยังไปต่อถึง หัวใจเรา ตับเรา ปอดเรา เข้าไปอีก ใช่ไหม? ฟันเรา...มันไม่มีที่จะปรากฏ แต่ "ตัวจำ" นี่ ใช้คำว่า อัตตสัญญา สัญญา-จำ ว่าเป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด เหนียวแน่นมาก เพราะคุ้นเคยชินกันมา ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว กี่ชาติในแสนโกฏิกัปป์ ถ้าไม่มีการได้ฟังพระธรรม มันก็จะชินต่อไปอีก!!! ว่ามันเป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด แน่นอน

แต่พอได้ฟังแล้ว เราถึงจะรู้ว่า ต่างกันมาก กว่าที่จะละความเป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด ให้มั่นคงจริงๆ ว่า อนัตตา มันไม่ใช่สิ่งที่เที่ยง ที่เราเคยจำไว้ว่า มันเป็นเก้าอี้ เป็นแขน เป็นตา เป็นหน้า เป็นอะไรทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้น กว่าอันนี้ ปัญญา จะค่อยๆ เข้าไปถึงอนุสัย เพราะการดับการยึดถือสภาพธรรมะ ไม่ใช่เพียงอย่างเดียว ทั้งหมดที่เคยเป็นเราวันนี้ ทั้งเห็น ทั้งชอบ ทั้งไม่ชอบ ทั้งแข็ง ทั้งอ่อน ทั้งอะไรทั้งหมด เพราะว่า ถ้าไม่เป็นเรา ก็เป็นขนมหม้อแกง หรือเป็นอะไร ใช่ไหม? ก็ยังเป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใดอยู่ แต่โดยตามความเป็นจริงคือ ไม่มีอะไร นอกจาก ธรรมะแต่ละหนึ่ง เพราะไม่รู้ เกิดดับรวมกัน เป็นนิมิต ทำให้จำได้ในความเป็นอัตตา

เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจจริงๆ อัตตากับอนัตตา ตรงกันข้าม อวิชชากับปัญญา ก็ตรงกันข้าม จะละได้ ก็ด้วยปัญญา อวิชชาจึงจะค่อยๆ จางลงไปได้ เพราะว่า อวิชชานี่นานแล้ว แล้วโลภะก็นานแล้ว ทิฏฐิก็นานแล้ว กว่าจะละสิ่งที่ นานแสนนาน ติดแน่นอยูในจิต เยอะแยะไปหมดเลย ทางฝ่ายอกุศลและกุศลที่สะสมมา ปัญญาเขาก็สามารถจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ตรง นี่ขั้นฟัง!!!

เพราะฉะนั้น ปัญญาเขาสามารถที่จะเข้าใจความต่างของสติสัมปชัญญะ ซึ่งเป็น ปฏิปัตติ ไม่ใช่เรา แต่ถ้ายังไม่เกิด ไม่มีทางรู้ ก็แข็งอย่างนี้ ใช่ไหม? กายวิญญาณ รู้ แต่สติสัมปชัญญะก็รู้แข็ง พร้อมกับความเข้าใจถูก รูปเหมือนเดิม ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเดิม อะไรเพิ่มขึ้น? ตัวปัญญา ที่เข้าใจ!!!

เพราะฉะนั้น ปัญญาตรงนั้น กว่าจะคมกล้า พอที่จะละ สละคืน การที่เคยยึดถือว่า เป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด ต้องเป็นผู้ที่ตรงอย่างยิ่ง!!

ด้วยเหตุนี้ บารมี ๑๐ มาแล้ว ต้องเป็นคุณความดีที่ค่อยๆ ไม่ให้อกุศลที่สะสมมาเกิด จนกระทั่งปิดบัง ไม่ให้สามารถที่จะรู้ความจริงได้ เพราะว่าเราเกิดมาชาตินี้ ถ้าไม่ได้ฟังธรรมะเลย (ก็) เก็บอกุศลต่อไป ในจิตทุกขณะ แต่พอฟังธรรมะแล้ว ก็ยังมีปัจจัยที่จะทำให้มีความเข้าใจ จนกว่าความเข้าใจนั้น ชาติต่อไป เข้าใจอีก มั่นคงอีก ในความเป็นอนัตตา

คุณพรทิพย์ ท่านอาจารย์คะ ขณะที่ศึกษาธรรมแล้วก็เข้าใจในเรื่องราว จะเป็นการที่สัญญา เริ่มที่จะจำสิ่งที่ถูก หรือต่อเมื่อสติปัฏฐานเกิด ถึงจะจำใหม่

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ขณะนี้ จำชื่อ สัญญาจำ อัตตสัญญา จำว่าเป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด อนัตตสัญญา จำว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่ง สิ่งใด เกิดหรือยัง? ยังไม่เกิด เพราะฉะนั้น ก็รู้ได้ถึงความต่างของปริยัติ กับ ปฏิบัติ เพราะถ้าไม่มีปริยัติเป็นพื้นฐาน ปฏิบัติ เกิดไม่ได้!!! สติสัมปชัญญะ เกิดไม่ได้!!! ก็กระทบสัมผัสไปเรื่อยๆ ปัญญาไม่มี!!!

แต่เพราะ มีความเข้าใจ ใช่ไหม? แล้วก็เลือกไม่ได้ด้วยว่าขณะนั้น สติเกิด โดยความเป็นอนัตตา รู้อะไร แล้วแต่สติ เป็นเสียงก็ได้ เป็นได้ยินก็ได้ เป็นธาตุรู้ก็ได้ เป็นแข็งก็ได้ เมื่อนั้นก็จะรู้ความต่างว่า นี่ ไม่ใช่เพียงกายวิญญาณ แต่ปัญญาเริ่มรู้ว่า ขณะนั้นสติสัมปชัญญะ เพราะฉะนั้น ในพระไตรปิฎก ท่านใช้คำที่ รู้ยาก แต่จริง คือ "อารมณ์ปรากฏดี"

ลองคิดดู นี่ไม่ได้ปรากฏดีเลย แป๊บเดียว ไม่รู้อะไรเลย ใช่ไหม? ต่อให้จะจับอย่างนี้ ก็ไม่ได้รู้อะไรเลย จะเรียกว่า ปรากฏดี หรือ? ในความเป็นธาตุที่ แข็ง แต่พอสติสัมปชัญญะ รู้ตรงแข็ง ลักษณะที่แข็ง ปรากฏ ในความเป็นสิ่งที่มีจริง เฉพาะแข็ง และถ้าปัญญาที่ฟังจนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจ ขณะนั้นก็ค่อยๆ รู้ความต่างของสติสัมปชัญญะ กับขณะที่กระทบไปสติสัมปชัญญะก็ไม่เกิด เพราะฉะนั้น ปัญญารู้ทุกอย่าง!!! เริ่มต้นตั้งแต่รู้ความต่างของปริยัติ ถ้าไม่ฟังอย่างนี้ จะรู้ไหม? ว่าปัญญา รู้สิ่งที่กำลังมี ไม่ต้องไปทำอะไรเลย!!! เพราะว่าสิ่งที่กำลังมี แสดงชัดถึงความเป็นอนัตตา เกิดแล้ว ไม่มีใครไปทำเลย แล้วก็เป็นอย่างนี้ กำลังรู้แข็งก็ไม่ใช่กำลังเห็น

นี่คือปริยัติ เพราะฉะนั้น จะเข้าใจความเป็นอนัตตาตั้งแต่ขั้นปริยัติตลอดไป จนถึง สภาพธรรมะปรากฏ เมื่อเป็นวิปัสสนาญาณ "เรา" ไม่มี!!! เพราะอะไร? วิปัสสนา-รู้แจ้ง , ญาณ-เป็นปัญญา เห็นเฉพาะลักษณะที่ปรากฏ ทีละหนึ่ง และลองคิดดูว่า หนึ่งนี่ เดี๋ยวนี้เท่าไหร่? ใช่ไหม? แต่นั่น หนึ่ง หนึ่งเดียว เพราะฉะนั้น ความชัดเจน จะมากไหม? ในความเป็นธาตุรู้ ซึ่งไม่มีอะไรเลย ไม่มีรูปร่าง ไม่มีอะไรเลย ต้องมืดสนิท แต่มีสิ่งที่กำลังปรากฏ อย่างแข็งเวลานี้ เราพูดได้ เวลาที่แข็งปรากฏ มืดสนิท แต่ไม่ได้ปรากฏว่ามืดสนิท เพราะฉะนั้น จะเป็นความรู้ชัด ได้ไหม? แต่ถ้ารู้ชัดจริงๆ ต้องไม่มีอย่างอื่น และขณะนั้น สภาพนั้นปรากฏดี ในความเป็นธรรมะ!!!

เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่า "ปรากฏดี" อารมณ์เหมือนเดิม ดีด้วยปัญญาที่เห็นถูก ในขณะนั้น เพราะฉะนั้น จึงต้องเป็นปกติ ผิดปกติคือไม่เข้าใจธรรมะ!!!

คุณพรทิพย์ ท่านอาจารย์คะ สติปัฏฐานก็น่าจะโอเคแล้ว

ท่านอาจารย์ หมายความว่าอย่างไร?

คุณพรทิพย์ หมายถึง ท่านอาจารย์บอกต้องถึงขั้นวิปัสสนาญาณ แค่สติปัฏฐานก็น่าจะ..

ท่านอาจารย์ แต่ถ้าไม่มีสติปัฏฐาน วิปัสสนาญาณจะเกิดได้ไหม? ทีนี้ ความต่างของสติปัฏฐานกับวิปัสสนาญาณ ต้องมี เพราะฉะนั้น ปัญญารู้ทุกอย่าง ตามความเป็นจริง ว่านี่เป็นสติสัมปชัญญะ นั่นเป็นวิปัสสนา เมื่อวิปัสสนาเกิด เช่นเดียวกับ ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิดขณะนี้ เดาไม่ได้ว่า สติสัมปชัญญะเป็นอย่างไร ก็บอกว่ากำลังรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ทีละหนึ่ง เฉพาะหนึ่งด้วย เพราะฉะนั้น ปรกติธรรมดาอย่างนี้ มีปัจจัยที่สติสัมปชัญญะจะเกิด ขณะนั้น อารมณ์ปรากฏดี กับสติที่รู้เฉพาะ แล้วมีความเข้าใจด้วย แต่ความเข้าใจขณะนั้นมันน้อย มันไม่พอ ยังไม่คุ้นเคยกับความเป็นธรรมะ เพิ่งเริ่มที่จะรู้ว่า สติปัฏฐานเป็นอย่างนี้ เป็นปรกติอย่างนี้ แล้วก็เกิดโดยความเป็นอนัตตาอย่างนี้ เลิกคิดแล้ว ว่าจะไปรู้โน่น รู้นี่ อะไร หทัยรูป อะไร ไม่มีทางที่จะเข้ามาชักชวนให้เข้าใจผิดได้ เพราะนั่นเป็น เราพยายาม แต่นี่ เป็นอนัตตา!!! ลมหายใจก็ปรากฏได้ อะไรก็ได้ โดยความเป็นอนัตตา จะมีความเข้าใจมั่นคงขึ้น ในความเป็นอนัตตาว่า เลือกไม่ได้ แต่ว่าปัญญาพอไหม? ขั้นต้น พอแค่ว่า นี่เป็นสติสัมปชัญญะ แต่ว่า อย่างอื่น ทั้งวัน ไม่ใช่เราไปให้สติสัมปชัญญะเกิดทางโน้น ทางนั้น ทางนี้ บ่อยๆ แล้วแต่

ความอดทนมาแล้ว ขันติบารมี ที่จะรู้ว่า ปัญญารู้อะไร ก็รู้สิ่งที่ปรากฏอย่างนี้ แต่โดยในความต่างขั้นฟัง และความต่างขั้นกำลังรู้เฉพาะทีละหนึ่ง และ ทีละหนึ่งนี้ ยังไม่ใช่วิปัสสนาญาณ เพราะฉะนั้น บารมี ๑๐ อยู่ในขณะที่กำลังฟัง แล้วก็มีความเข้าใจ

เพราะฉะนั้น ที่คุณกุลวิไลยกมาเมื่อวันเสาร์ ที่เหมือนกับผู้มีพระภาคฯให้ จงมีความเพียร จงรีบเร่ง กระทำความเพียร หรืออะไรก็ตามแต่ ที่เป็นสำนวนแปล แล้วคนที่ไม่เข้าใจธรรมะ ไปรีบเร่ง ทำความเพียร รู้อะไร? คิดดู แต่ถ้าเข้าใจถูก ชีวิตจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะฉะนั้น ขณะที่ยังไม่เข้าใจ ทางเดียวที่จะเข้าใจ คือ ฟัง ไม่ใช่รีบเร่งไปทำอะไรเลย รีบเร่งเข้าใจสิ่งที่กำลังฟังโดยการเป็นผู้ที่พิจารณาในความละเอียดอย่างยิ่ง เพื่อการละความเป็นเรา

ถ้ายังเป็นเราไปทำ ก็คือว่า ไม่ใช่รีบเร่งกระทำความเพียร เพราะว่า ไม่รู้ แล้วไปเพียรอะไร? แต่เพราะปัญญารู้ว่า ปัญญา คือ ความเข้าใจถูก จะมาจากไหน ความเข้าใจถูก ก็ต้องมาจากการฟัง การฟังก็ต้องฟังด้วยความที่รู้ว่า เป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา ทุกอย่างขณะนี้ ค่อยๆ เติมลงไป ทีละเล็ก ทีละน้อย ว่า ไม่ใช่เรา นี่คือ เร่งทำความเพียรเพราะอะไร? เดี๋ยวนี้ไง แต่ถ้าคุณจะไปทำความเพียรที่อื่น คุณช้าไป เพราะว่าคุณไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ

เพราะฉะนั้น แม้แต่แต่ละคำ ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ สามารถที่จะรู้ว่า คำนั้นหมายความว่าอะไร แล้วไม่ไปผิด เพราะความเข้าใจ อย่างมีคนถามว่า มรรคมีองค์แปด ละอภิชฌา ละโทมนัส ละอย่างไร? ก็ปัญญาต่างหาก ที่รู้ ถ้าไม่มีปัญญาจะไปละหรือ? จะไปรู้หรือ? ว่านี่ผิด!!! นี่โลภะ นั่นโทสะ ทรมานตัวบ้าง อะไรบ้าง

ทุกคำ มีความลึกซึ้ง ถ้าบอกว่า รีบเร่งไปทำความเพียร พระผู้มีพระภาคฯตรัส ก็เลยไปกระทำกันใหญ่ เข้าใจอะไร? ถ้าไม่ใช่เข้าใจ (ก็คือ) ตัวตน แล้วก็จะไปละตัวตนได้อย่างไร? เพราะฉะนั้น ที่เรายังมีชีวิตอยู่ คือ ฟังพระธรรมโดยความเคารพ ที่จะไตร่ตรองในคำจริง ที่แสดงถึงความเป็นอนัตตา จะมาก จะน้อย ก็ขอให้เข้าใจความจริงที่เป็นอนัตตา อันนี้ สำคัญที่สุดในการฟัง

เพราะฉะนั้น บางคนถ้าไม่เข้าใจ ฟังแล้วอยากเลย ตัวตนมาเลย แทนที่จะเป็นความเข้าใจ ก็กลายเป็นสิ่งที่ตัณหาต้องการ โลภะต้องการ จะทำอย่างนี้ จะเอาอย่างนั้น นี่หรือคำสอนของพระพุทธเจ้า? เพราะฉะนั้น ต้องรู้เลย ทุกคำ เป็นไปเพื่อละความไม่รู้ เป็นไปเพื่อละความติดข้อง ใครก็ละไม่ได้ นอกจากปัญญา

เพราะฉะนั้น สละคืนบ้าง ละวางบ้าง เขาก็จับเอาคำนี้ อะไรเกิดขึ้น โลภะเกิด ก็ละวางเสีย พูดได้อย่างไร? พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้หรือ? ไม่มีปัญญาสักนิดเดียว แล้วละอะไร? แต่พอเข้าใจถูกต้อง ละวางความไม่รู้และความเห็นผิด จากการฟังเข้าใจ ต้องมีอันนี้ก่อน ถ้าไม่มีอันนี้ ไปถึงอันนั้นไม่ได้ ใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น ฟังเผินๆ ทุกคนก็ไปเลย ละวางเลย เพียรเลย แต่ไม่ถูก!!! เพราะไม่เข้าใจ จะเข้าใจความหมายของบารมี ๑๐ ที่ขาดไม่ได้เลย เพราะเดี๋ยวนี้ไม่รู้ แล้ววิริยะอยู่ไหน? กำลังเกิดขณะที่ฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจ อดทนไหม? แล้วแต่จะเกิดเมื่อไหร่ ชาตินี้หรือชาติไหนก็ไม่สำคัญ ขอให้เป็นการละ ความเป็นเราที่จะทำหรือต้องการ ตัวนี้ มาเสริม มาถ่วง จนกระทั่งก้าวหน้าไม่ได้ เพราะมันหนักมาก ด้วยความเป็นเรา ทำไป ผิดไป ทำไป ผิดไป แล้วมันจะไปไหน? แล้วก็ไม่รู้จักพระพุทธเจ้าด้วย พระปัญญาคุณที่ได้ทรงแสดงธรรมะ เพื่อเรา กลายเป็นใครพูดก็ไม่รู้ ไปเชื่อเขาหมดเลย แต่ว่าปัญญาไม่เกิดและไม่รู้ด้วยว่า รู้อะไร?

เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะถึงเผินไม่ได้ แล้วก็ปรากฏว่า คนฟังในอดีต ท่านรู้มาแล้วทั้งนั้นในชาติก่อนๆ พอพบพระพุทธเจ้า สนทนา ตรัสว่าอะไร ท่านเข้าใจเลย แต่ของเรา จะเอาอย่างนั้น จะเอาอย่างนี้ ฟังแล้วเป็นโน่น เป็นนี่ ก็ไม่ใช่ปัญญาของคนในครั้งนั้น ก็เทียบกันไม่ได้ กว่าจะถึงความเป็นบุคคล ที่ได้เฝ้า ได้ฟังพระธรรมแล้วเข้าใจ กับการที่ ตอนนี้ยังเป็นอย่างนี้ ก็ไม่เป็นไร ใช่ไหม? จนกว่าจะเข้าใจ มีโอกาสได้ยินเมื่อไหร่ ก็เข้าใจถูก ไม่ใช่เข้าใจผิด

เพราะฉะนั้น ตราบใดที่พระธรรมยังมีอยู่ และเป็นผู้ที่ละเอียด รอบคอบ และด้วยความเคารพ ด้วยความไม่ประมาท จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม รวมทั้ง "ฟัง" ด้วย ไม่ใช่ตื้นๆ ไม่ใช่ง่ายๆ ไม่ใช่ฟังแล้วจะปฏิบัติ หรือ เป็นตัวตน แล้วไม่รู้ความต่างของขณะนี้ มีเห็นก็ยังไม่รู้ ได้แต่ฟัง แต่การรู้เฉพาะเห็น ตรงเห็น แล้วเริ่มเข้าใจ ต้องต่างกันแล้ว กับการที่กำลังฟัง แล้วก็มีเห็น ทุกอย่างหมด ไม่ว่าอะไรที่มี แล้วก็รู้ด้วยว่า ปัญญา คือ อะไร ปัญญา คือ เข้าใจ เข้าใจในความเป็นธรรมะ จนกระทั่ง ไม่ใช่เรา เมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็ตรง กับพระธรรมที่ทรงแสดง ว่า ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา ต้องตรงตั้งแต่คำแรก จนถึงคำสุดท้าย

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณกุสุมา โกมลกิติ (พี่จู) และ ครอบครัวชัยศรีโสภณกิจ ทุกท่าน และกราบขอบพระคุณพี่บี๋ (ดร.ปรีดา โกมลกิติ) สำหรับอาหารอร่อยๆ และสถานที่สวยงาม กว้างขวาง สะดวกสบายอย่างยิ่ง และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

.........

ขอเชิญคลิกชมภาพและความการสนทนาธรรมในครั้งที่แล้วได้ที่นี่ครับ..
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ เดอะรอยัล ปริ๊นเซส คอนโดมิเนียม หัวหิน ๙-๑๑ กันยายน ๒๕๕๗
และ ขอเชิญคลิกชมตอนที่ ๒ ที่ บ้านพักตากอากาศของคุณนภา จันทรางศุ ได้ที่นี่ครับ...
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านพักตากอากาศ ของ คุณนภา จันทรางศุ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๘


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
tanrat
วันที่ 30 ก.ย. 2558

การกล่าวความจริงของสิ่งที่มีจริง นับเป็นหนึ่งในบุญยะกริยาวัตถุสิบ กราบอนุโมนาสาธุค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 30 ก.ย. 2558

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

อนุโมทนาขอบพระคุณท่านผู้จัดให้มีการสนทนาธรรมในครั้งนี้

และอนุโมทนาขอบพระคุณ คุณวันชัย ภู่งามที่บรรจงร้อยเรียงอักษรถ่ายทอดการสนทนาธรรมและภาพอันงดงามให้ได้อ่านและชมภาพราวกับได้ร่วมฟังสนทนาธรรมด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 30 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 30 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
napachant
วันที่ 30 ก.ย. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง

กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลศรัทราของพี่จู (คุณกุสุมา โกมลกิติ)

และครอบครัว ชัยศรีโสภณกิจ ทุกท่านค่ะ

ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม ที่เรียงร้อยถอดธรรมให้เกิดความเข้าใจเพิ่มขึ้น และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
แก่นไม้หอม
วันที่ 30 ก.ย. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น.

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาครอบครัวโกมลกิติและครอบครัวชัยศรีโสภณ

และอนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
orawan.c
วันที่ 30 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ปวีร์
วันที่ 30 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 1 ต.ค. 2558

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
peem
วันที่ 1 ต.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
j.jim
วันที่ 1 ต.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
jirat wen
วันที่ 2 ต.ค. 2558

การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด/สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
สิริพรรณ
วันที่ 2 ต.ค. 2558

กราบนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า

กราบแทบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ด้วยความรู้พระคุณยิ่ง

ขออนุโมทนา ในกุศลจิต พี่จู (คุณกุสุมา โกมลกิติ)

ครอบครัว ชัยศรีโสภณกิจ

คุณวันชัย ภู่งาม และ ทุกๆ ท่านด้วยค่ะ

พระธรรมเท่านั้น ที่แสดงความจริง

จึงสมควรที่ต้องฟังให้มากที่สุด ในเวลาที่เหลืออยู่

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 2 ต.ค. 2558

สาธุ อนุโมทนา และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
นิคม
วันที่ 7 ต.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
Guest
วันที่ 14 ต.ค. 2558

น้อมกราบ ขออนุโมทนาในพระสัทธรรมด้วยความเคารพยิ่งครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ